แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นทางสาธารณะ ถ้าฟังได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้อง ชั้นชี้สองสถาน จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์จริง เพียงเท่านี้ยังไม่พอฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ทางสาธารณะ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้วพิพากษาขับไล่จำเลย จึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและขอเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 2662 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินโจทก์ ครบกำหนดเวลาเช่าและโจทก์บอกเลิกการเช่าแล้ว จำเลยไม่ยอมออกไป ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากที่ดินที่เช่าห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่ดิน และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยให้การว่าที่ดินตามฟ้องไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ แต่เป็นทางสาธารณะ
ศาลชั้นต้นชี้สองสถาน สอบถามจำเลย จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์และสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินของจำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดิน และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ใช่ที่ดินของโจทก์ แต่เป็นทางสาธารณะ ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ตามข้อต่อสู้ของจำเลยโจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย เพียงแต่จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาเช่ากับโจทก์จริงเท่านั้น ยังไม่พอฟังว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ไม่ใช่ทางสาธารณะ ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบ
พิพากษายืน