คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7332/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 200,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดขอให้ยกฟ้อง ทุกทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียง200,000 บาท หาใช่จำนวน 238,568.49 บาท ดังที่จำเลยระบุจำนวนทุนทรัพย์มาหน้าคำฟ้องฎีกาจำเลยไม่ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง (อ้างฎีกาที่ 1926/2527 ประชุมใหญ่) จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อที่ดินและอาคารพิพาทเพื่อตนเองไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท ซึ่งศาลอุทธรณ์วินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่าในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทจำเลยได้กระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ ฎีกาจำเลยจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นบทบังคับเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญาที่ตัวแทนกระทำต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น มิได้ใช้บังคับสำหรับข้อพิพาทระหว่างตัวการกับตัวแทนด้วยกัน เมื่อมูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทน จึงไม่ตกอยู่ในบังคับของบทกฎหมายดังกล่าว ระหว่างโจทก์จำเลยไม่จำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้มอบหมายให้จำเลยเป็นตัวแทนไปติดต่อจะซื้อที่ดินพร้อมอาคารพิพาทจากนายสันติโชคในราคา 550,000 บาทที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าวนายสันติโชคได้ทำสัญญาจะซื้อขายกับบริษัทสราญรมย์วิลล่า จำกัด ในราคา 329,000 บาท แล้วนำมาขายให้แก่โจทก์อีกต่อหนึ่ง โจทก์และจำเลยมีข้อตกลงกันว่า เมื่อโจทก์ชำระราคาให้แก่นายสันติโชคครบจำนวน 310,000 บาท แล้วจำเลยจะติดต่อกับนายสันติโชคให้เปลี่ยนสัญญาให้โจทก์เป็นผู้จะซื้อโดยตรงจากบริษัทสราญรมย์วิลล่า จำกัด ต่อมาโจทก์ได้ชำระราคาให้แก่นายสันติโชค จำนวน 200,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 110,000 บาทนั้น จำเลยได้นำเงินไปชำระให้แก่นายสันติโชค และได้มีการเปลี่ยนชื่อผู้จะซื้อจากนายสันติโชคเป็นจำเลย ซึ่งการกระทำของจำเลยเป็นการผิดข้อตกลงที่ให้ไว้กับโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยถอนชื่อออกจากการเป็นผู้จะซื้อ และจัดการเปลี่ยนให้โจทก์เข้าเป็นผู้ถือเอาสัญญาในฐานะผู้จะซื้อกับผู้จะขายเอง หากจำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย หากจำเลยไม่ยอมกระทำการถอนชื่ออกจากการเป็นผู้จะซื้อ และให้โจทก์เข้าเป็นผู้จะซื้อแทนกับบริษัทโดยตรงหรือหากว่าการเข้าถือเอาสัญญาดังกล่าวไม่อาจจะกระทำได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 200,000 บาท แก่โจทก์และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ของต้นเงิน200,000 บาท นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยมอบหมายให้จำเลยเป็นตัวแทนไปติดต่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารพิพาทจากนายสันติโชค และไม่เคยให้จำเลยไปติดต่อนายสันติโชคเพื่อเปลี่ยนให้โจทก์เป็นผู้ซื้อโดยตรงกับบริษัทสราญรมย์วิลล่า จำกัด เมื่อได้ชำระเงินที่ซื้อขายครบ310,000 บาท แต่อย่างใด จำเลยเป็นผู้ไปติดต่อซื้อบ้านพร้อมที่ดินจากนายสันติโชคในนามของจำเลยและชำระราคาด้วยเงินของจำเลยเองโจทก์ไม่เคยชำระเงินจำนวน 200,000 บาท ทั้งโจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือในการแต่งตั้งจำเลยเป็นตัวแทนทำการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มาแสดงต่อศาล ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินจำนวน 200,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้อง(18 กุมภาพันธ์ 2534) ไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินจำนวน 200,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับตั้งแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดใช้เงินจำนวน 200,000 บาท แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้องเช่นนี้ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฎีกาจำเลยจึงมีเพียงจำนวน200,000 บาท หาใช่จำนวน 238,568.49 บาท ดังที่จำเลยระบุจำนวนทุนทรัพย์มาหน้าคำฟ้องฎีกาจำเลยไม่เมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยซื้อที่ดินและอาคารพิพาทเพื่อตนเอง ไม่ได้เป็นตัวแทนโจทก์ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาท เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์ซึ่งวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า ในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทนั้นจำเลยได้กระทำไปในฐานะเป็นตัวแทนโจทก์ฎีกาจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 เป็นบทบังคับเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญาที่ตัวแทนทำต่อบุคคลภายนอกเท่านั้น มิได้ใช้บังคับสำหรับข้อพิพาทระหว่างตัวการกับตัวแทนด้วยกัน เมื่อมูลหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยเป็นมูลหนี้ตามสัญญาตัวแทนจึงไม่ตกอยู่ในบังคับของบทกฎหมายดังกล่าวนั่นคือ ระหว่างโจทก์จำเลยไม่จำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นตัวแทนโจทก์ในการกระทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทจำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์แม้การตั้งตัวแทนระหว่างโจทก์กับจำเลยจะไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม
พิพากษายืน

Share