แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 อยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นพี่ ยอมให้จำเลยที่ 3 ดำเนินการให้มีการก่อสร้างตึกแถวขึ้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 3 ได้ตกลงให้ผู้รับเหมาลงทุนก่อสร้างตึกแถวในที่ดินนั้นและให้ผู้รับเหมาเรียกเงินกินเปล่าจากผู้เช่าโดยตึกที่ก่อสร้างตกเป็นของเจ้าของที่ดิน แม้จำเลยที่ 3 จะได้รับประโยชน์ค่าหน้าดินและค่าเช่าเสียทั้งหมด ก็จะถือว่าจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของที่ดินได้ก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นดินเป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 โดยให้จำเลยที่ 3 มีสิทธิเป็นเจ้าของตึกที่ก่อสร้างขึ้นหาได้ไม่ ตึกนั้นเป็นส่วนควบของที่ดินของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปทำสัญญาจะขายที่ดินของตนให้แก่โจทก์ระหว่างที่สัญญายังมีผลบังคับอยู่ จำเลยที่ 1 กลับโอนแบ่งที่ดินนั้นครึ่งหนึ่งให้แก่จำเลยที่ 2, 3 โดยเสน่หา การกระทำเช่นนี้ย่อมจะทำให้โจทก์ซึ่งจะได้รับผลตามสัญญาจะซื้อขายต้องเสียเปรียบ แม้จำเลยที่ 3, 4 ผู้รับโอนมิได้รู้ถึงความจริงนี้แต่เมื่อเป็นการโอนให้โดยเสน่หา เพียงแต่จำเลยที่ 1 รู้ฝ่ายเดียวโจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เพิกถอนได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดที่ 8762 พร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์ราคา 50,000 บาท โจทก์ได้วางมัดจำไว้ 25,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ใน 2 เดือน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินนี้กึ่งหนึ่งไปจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ 3, 4 โดยเสน่หา เป็นการทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ ขอให้เพิกถอนนิติกรรมยกให้และให้จำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การรับตามฟ้อง
จำเลยที่ 2 ต่อสู้ว่าจำเลยที่ 2 พ้นความรับผิด
จำเลยที่ 3, 4 ต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปขายที่ดินพิพาท โจทก์ไม่เคยตกลงซื้อและชำระเงินมัดจำ จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจขายสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นของจำเลยที่ 3จำเลยที่ 3, 4 ได้รับโอนที่พิพาท ไม่ทำให้โจทก์เสียเปรียบ
ศาลชั้นต้นพิพากษาเพิกถอนการยกให้ของจำเลยที่ 1 แก่จำเลยที่ 3, 4 ในที่ดินโฉนดที่ 8762 ให้เจ้าพนักงานที่ดินถอนชื่อจำเลยที่ 3, 4 ออกจากโฉนดคำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ 3, 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3, 4 ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ทำการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ได้ทำสัญญาจะขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้โจทก์
ปัญหาที่ว่าตึกแถวที่ปลูกสร้างในที่ดินที่ตกลงขายให้โจทก์จะเป็นส่วนควบของที่ดินหรือเป็นของจำเลยที่ 3 นั้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามธรรมดาสิ่งปลูกสร้างอาคารบ้านเรือนย่อมตกเป็นส่วนควบของที่ดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 107 ข้อที่จำเลยที่ 3 ว่าตึกดังกล่าวเป็นของจำเลยที่ 3 มิใช่ส่วนควบ อันเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 109 นั้น ได้ความว่าจำเลยที่ 3 ได้ตกลงกับผู้รับเหมาให้ลงทุนก่อสร้างตึกแถวลงในที่ดินของจำเลยที่ 1 แล้วให้ผู้รับเหมาเรียกเงินกินเปล่าจากผู้เช่าโดยตึกที่ก่อสร้างตกเป็นของเจ้าของที่ดิน แม้จำเลยที่ 1 จะยอมให้จำเลยที่ 3 ดำเนินการมีการก่อสร้างตึกแถวดังกล่าวขึ้นและจำเลยที่ 3 ได้รับผลประโยชน์ค่าหน้าดินและค่าเช่าเสียทั้งหมด ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นน้องอยู่ในความดูแลของจำเลยที่ 3 ด้วย จึงจะฟังว่าจำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของที่ดินได้ก่อให้เกิดสิทธิเหนือพื้นดินเป็นคุณแก่จำเลยที่ 3 โดยให้จำเลยที่ 3 เป็นผู้มีสิทธิเป็นเจ้าของตึกที่ก่อสร้างขึ้นหาได้ไม่ ตึกที่สร้างขึ้นเป็นส่วนควบของที่ดินของจำเลยที่ 1
ปัญหาที่ว่าการที่จำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมโอนที่ดินให้แก่จำเลยที่ 3, 4โดยจำเลยที่ 3, 4 ไม่ทราบถึงการที่จำเลยที่ 1 ได้ไปทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ไว้นั้น โจทก์จะขอให้เพิกถอนการโอนนี้ได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ไปทำสัญญาจะขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ไว้แล้วในระหว่างสัญญายังมีผลบังคับอยู่ จำเลยที่ 1 กลับไปโอนแบ่งที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3, 4 โดยเสน่หา การกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นทางให้โจทก์ซึ่งจะได้รับผลตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 เสียเปรียบ แม้จำเลยที่ 3, 4 จะมิได้รู้ถึงความจริงอันจะเป็นทางให้โจทก์ต้องเสียเปรียบ แต่กรณีที่จำเลยที่ 1 โอนแบ่งที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 3, 4 เป็นการให้โดยเสน่หา ฉะนั้น เพียงแต่จำเลยที่ 1 รู้แต่ฝ่ายเดียวก็ชอบที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
พิพากษายืน