แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับ จ. เข้าหุ้นส่วนซื้อที่ดินมาเพื่อจัดสรรขาย ต่อมา จ. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ จ. ได้โอนที่ดินให้จำเลยที่ 2 และขอออกโฉนดที่ดินให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันให้โจทก์มีหุ้น 1 ใน 3 และคิดบัญชีแบ่งหุ้นกัน โจทก์ตกลงขายหุ้นส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้มอบให้โจทก์ โดยยอมผ่อนชำระเงินให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 1 ชำระเงินไม่ครบ จึงขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินที่เหลือให้โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่า จ.ไม่เคยเข้าหุ้นส่วนกับโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่เคยตกลงให้โจทก์เข้าหุ้นในที่ดิน 1 ใน 3 และไม่เคยตกลงซื้อหุ้นและทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ ศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงว่า โจทก์กับ จ. เป็นหุ้นส่วนโดยชอบหรือไม่และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์แยกประเด็นขึ้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์เพียงใดหรือไม่และฟังว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งหุ้นกัน แล้วโจทก์ขายหุ้นให้จำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้โจทก์แต่ชำระยังไม่ครบ จึงเป็นการที่วินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคำฟ้องและคำให้การนั่นเอง หาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์และนายจูเพ็ก เซ่งเหลียนตกลงเข้าหุ้นส่วนลงเงินกันคนละครึ่งซื้อที่ดินเพื่อเอามาจัดสรรขายหากำไรแบ่งกัน โดยซื้อที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3)เล่ม 2 หน้า 138 เลขที่ 9/3 เนื้อที่ 14 ไร่ 3 งาน 65 ตารางวาจากนายอุ่นในราคา 6,000 บาท โจทก์มอบให้นายจูเพ็กเป็นผู้รับโอนแต่เพียงผู้เดียว ต่อมาวันที่ 2 สิงหาคม 2523 นายจูเพ็กถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ได้เป็นผู้จัดการมรดกของนายจูเพ็กเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2523 จำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาของนายจูเพ็ก วันที่ 6 พฤษภาคม 2524เจ้าพนักงานที่ดินได้ออกโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวเป็น 2 โฉนด คือโฉนดเลขที่ 4782 และ 4783 ให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ทั้งสองโฉนด โจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงกันให้โจทก์มีหุ้น 1 ใน 3วันที่ 16 พฤศจิกายน 2526 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจูเพ็กและในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 2 ได้คิดบัญชีแบ่งหุ้นที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ตามสิทธิโดยหักส่วนที่โจทก์ยังค้างออกไปโจทก์คงได้รับคิดเป็นเนื้อที่ 1,553 ตารางวา ที่ดินส่วนของโจทก์นี้โจทก์ตกลงขายให้แก่จำเลยที่ 1 ในราคาตารางวาละ 650 บาท คิดเป็นเงิน 1,009,450 บาท จำเลยที่ 1 ตกลงรับซื้อหุ้นและทำหนังสือรับสภาพหนี้มอบไว้แก่โจทก์ ยอมชำระเงินบางส่วน 120,000 บาทผ่อนชำระเป็น 2 งวด งวดละ 60,000 บาท ได้จ่ายให้โจทก์ในวันที่1 ธันวาคม 2526 และวันที่ 15 ธันวาคม 2526 ส่วนเงินที่เหลือจะผ่อนชำระให้โจทก์เดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันที่ 20 มกราคม 2527เป็นต้นไปจนกว่าจะครบจำนวน ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้สั่งจ่ายเช็คให้โจทก์หลายฉบับรวมเป็นเงิน 470,000 บาท ยังค้างชำระอยู่อีก539,450 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์ทวงถามก็ขอผัดผ่อนเรื่อยมา ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินให้แก่โจทก์539,450 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2530
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า นายจูเพ็กไม่เคยเข้าหุ้นส่วนกับโจทก์ซื้อที่ดินมาจัดสรรหากำไรตามฟ้องแต่นายจูเพ็กเป็นผู้ซื้อที่ดินดังกล่าวแต่ผู้เดียว จำเลยทั้งสองไม่เคยตกลงให้โจทก์เข้าหุ้นในที่ดิน 1 ใน 3 ตามฟ้อง การที่นายจูเพ็กซื้อที่ดินดังกล่าวได้เพราะโจทก์เป็นคนติดต่อนายจูเพ็กรับว่าจะให้ค่าตอบแทน เมื่อนายจูเพ็กถึงแก่ความตายจำเลยที่ 1 ใช้ค่าตอบแทนให้โจทก์ 300,000 บาทเศษ โจทก์อ้างว่าไม่พอและอ้างว่าเป็นหุ้นส่วนด้วย จำเลยที่ 1 จึงสั่งจ่ายเช็คให้อีก200,000 บาทเศษ จำเลยทั้งสองไม่เคยตกลงซื้อหุ้นและทำหนังสือรับสภาพหนี้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกและจำเลยที่ 2 ร่วมกันใช้เงินจำนวน 539,450 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากเงินต้นดังกล่าวนับแต่ วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 2 เมษายน 2530)ต้องไม่เกินกว่า 4,987 บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาข้อแรกว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เพียงว่า โจทก์กับนายจูเพ็ก เซ่งเหลียน เป็นหุ้นส่วนโดยชอบหรือไม่ และจำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกประเด็นขึ้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิด ตามหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์เพียงใดหรือไม่ จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นนั้น เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์กับนายจูเพ็กเข้าหุ้นส่วนซื้อที่ดินมาเพื่อจัดสรรขาย โดยให้นายจูเพ็กเป็นผู้รับโอนแต่เพียงผู้เดียวต่อมานายจูเพ็กถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของนายจูเพ็ก ได้โอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 และขอออกโฉนดที่ดินให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ตกลงกันให้โจทก์มีหุ้น 1 ใน 3 ต่อมามีการคิดบัญชีแบ่งหุ้นกัน และโจทก์ตกลงขายหุ้นส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 1 ในราคาเป็นเงิน 1,009,450 บาท จำเลยที่ 1 ตกลงรับซื้อและทำหนังสือรับสภาพหนี้มอบให้โจทก์โดยยอมผ่อนชำระเงินให้โจทก์แต่จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้โจทก์ไม่ครบ โจทก์จึงฟ้องบังคับขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินที่เหลือให้โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การว่านายจูเพ็กไม่เคยเข้าหุ้นส่วนกับโจทก์ซื้อที่ดินมาจัดสรร และจำเลยทั้งสองไม่เคยตกลงให้โจทก์เข้าหุ้นในที่ดิน 1 ใน 3 ตามฟ้องจำเลยทั้งสองไม่เคยตกลงซื้อหุ้นและทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ยกประเด็นขึ้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองจะต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ต่อโจทก์เพียงใดหรือไม่และฟังว่าโจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งหุ้นกัน แล้วโจทก์ขายหุ้นให้จำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ตามเอกสารหมาย จ.5กับสั่งจ่ายเช็คตามหนังสือรับสภาพหนี้ชำระหนี้ให้โจทก์ แต่ชำระหนี้ยังไม่ครบ จึงต้องชำระส่วนที่เหลือให้โจทก์ ประเด็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยดังกล่าวจึงเป็นการที่วินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในคำฟ้องและคำให้การนั่นเอง หาเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน