แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อรถยนต์โดยสุจริตจากส. ซึ่งเป็นพ่อค้าขายของชนิดนั้นโจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถยนต์ในฐานะผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยไม่ได้ชดใช้ราคารถยนต์ที่ซื้อมาจึงไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนจากโจทก์พิพากษาให้จำเลยเพิกถอนการแจ้งอายัดรถยนต์ต่อสถานีตำรวจและยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้บังคับโจทก์ส่งมอบรถยนต์แก่จำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยฎีกาเพียงขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ขอให้บังคับคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยด้วยคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งซึ่งถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145จึงต้องฟังตามคำพิพากษาในส่วนฟ้องแย้งว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองรถยนต์จำเลยไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนโดยไม่ได้ชดใช้ราคารถยนต์ที่โจทก์ซื้อมาที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยเพิกถอนการอายัดรถยนต์จึงรับฟังไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2529 โจทก์ได้ตกลงซื้อรถยนต์หมายเลข ม-0604 พิษณุโลก จากจำเลยในราคา 255,000 บาทซึ่งรถดังกล่าวจำเลยได้นำไปฝากขายไว้ที่ร้านจำหน่าย”สยามธุรกิจตะพานหิน” โดยมีนายสุพรรณ์ ชัยกิตติศิลป์ เป็นเจ้าของและหุ้นส่วนผู้จัดการ และในวันนั้นเองโจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้แก่จำเลยเป็นเงิน 10,000 บาท ต่อมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 2529โจทก์ได้โอนเงินที่ค้างชำระอีก 245,000 บาท จากธนาคารให้แก่จำเลย ซึ่งเป็นการโอนเงินตามข้อตกลงของจำเลยกับโจทก์ จำเลยได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่โจทก์พร้อมดำเนินการแจ้งย้ายทะเบียนรถยนต์ให้แก่โจทก์ ต่อมาเจ้าหน้าที่ทะเบียนยานพาหนะ กรุงเทพมหานครได้ออกหมายเลขใหม่ให้แก่โจทก์จากหมายเลขเดิม ม-0604 พิษณุโลกเป็น 4ร-5731 กรุงเทพมหานคร และโจทก์ได้ครอบครองรถยนต์คันดังกล่าวนี้มาตลอด ต่อมาโจทก์ได้ดำเนินการต่อทะเบียนประจำปี แต่ปรากฏว่าเจ้าหนี้ที่ไม่สามารถต่อทะเบียนให้โจทก์ได้โดยอ้างว่าจำเลยได้แจ้งอายัดไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธินว่าจำเลยไม่เคยจำหน่ายหรือย้ายรถยนต์ให้แก่โจทก์ การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถใช้รถยนต์ขับขี่ได้และไม่สามารถต่อทะเบียนได้ตามระเบียบของทางราชการ ขอให้จำเลยเพิกถอนการแจ้งความอายัด ณ สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธินหากจำเลยไม่เพิกถอนการแจ้งความอายัดให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยตกลงขายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ม-0604 พิษณุโลก ให้แก่โจทก์ โจทก์ทำนิติกรรมกับนายสุพรรณ์ ชัยกิตติศิลป์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย ตามที่โจทก์อ้างว่าซื้อรถยนต์ดังกล่าวเป็นเรื่องที่โจทก์ถูกนายสุพรรณ์ ชัยกิตติศิลป์ ฉ้อโกง จำเลยไม่ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2529 นายสุพรรณ์ได้มาติดต่อกับจำเลยว่าหากต้องการเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่นายสุพรรณ์สามารถติดต่อกับบริษัทได้เพียงแต่ให้จำเลยส่งมอบรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อให้บริษัทประเมินราคารถยนต์ของจำเลยมาก่อนหากจำเลยจะเปลี่ยนเอารถยนต์คันใหม่แล้วให้จำเลยมาพิจารณาและตัดสินใจในวันที่ 10 ธันวาคม 2529 หลังจากนั้น ให้จำเลยตกลงกับบริษัทเอาเอง จำเลยหลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงได้มอบรถยนต์คันดังกล่าวให้นายสุพรรณ์ต่อมาจำเลยจึงทราบว่ารถยนต์คันดังกล่าวของจำเลยถูกนายสุพรรณ์กับโจทก์ร่วมกันหลอกลวงและเบียดบังยักยอกเอารถยนต์ของจำเลย การครอบครองของโจทก์จึงเป็นการละเมิดต่อจำเลย ทำให้จำเลยเสียหาย จำเลยขอคิดค่าเสียหายวันละ 300 บาทนับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2529ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทราบว่าโจทก์ครอบครองรถยนต์ของจำเลยจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา 8 เดือนเศษ เป็นค่าเสียหาย 72,000 บาทจึงขอให้บังคับโจทก์ส่งมอบรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ม-0604 พิษณุโลกคืนจำเลยในสภาพเรียบร้อย หากโจทก์ไม่สามารถส่งรถยนต์คืนได้ให้โจทก์ชดใช้ราคาเป็น 300,000 บาท และให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยเป็นเงิน 72,000 บาท กับชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยวันละ300 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าโจทก์จะส่งมอบรถคืนแก่จำเลยในสภาพเรียบร้อย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ขณะที่โจทก์เจรจาตกลงราคาซื้อขายกันอยู่นั้น จำเลยเป็นผู้ตกลงราคาซื้อขายกับโจทก์ด้วยตนเองที่ร้านของนายสุพรรณ์ซึ่งเป็นพ่อค้าขายรถยนต์และเป็นการซื้อขายในท้องตลาดอย่างเปิดเผย และจำเลยบอกโจทก์อีกว่า จำเลยยังมีภาระหนี้สินค้างชำระที่ต้องหักทอนหนี้สินอยู่กับนายสุพรรณ์ โจทก์จึงได้ทำสัญญาซื้อขายกับนายสุพรรณ์ตามความประสงค์และความยินยอมของจำเลยการทำสัญญาซื้อขายของโจทก์จึงสมบูรณ์ โจทก์มิได้โต้แย้งสิทธิจำเลย จำเลยกับนายสุพรรณ์ผิดใจกันเรื่องการหักทอนหนี้สินที่ไม่ยอมรับกัน จำเลยจึงได้แจ้งความอายัดรถยนต์พิพาทนี้ โจทก์ขอปฏิเสธว่าโจทก์มิได้สมคบกับนายสุพรรณ์หลอกลวงจำเลยและไม่ได้เบียดบังยักยอกรถยนต์พิพาทนี้แต่อย่างใด โจทก์ได้รับการครอบครองและได้กรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทตามสัญญาซื้อขายโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนเป็นเงินถึง 255,000 บาทขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยมอบรถยนต์พิพาทไว้แก่นายสุพรรณ์ชัยกิตติศิลป์ เพื่อขายโจทก์ได้ซื้อรถยนต์พิพาทโดยสุจริตจากนายสุพรรณ์ผู้เป็นพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถยนต์พิพาทในฐานะผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ จำเลยไม่ได้ชดใช้ราคารถยนต์พิพาทที่ซื้อมาจึงไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนจากโจทก์โจทก์ไม่ได้กระทำละเมิดต่อจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์ตามฟ้องแย้ง ที่จำเลยแจ้งอายัดการต่อทะเบียนรถยนต์พิพาทโดยอ้างว่าไม่เคยจำหน่ายหรือแจ้งย้ายรถยนต์พิพาทให้โจทก์เป็นการไม่ชอบโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการแจ้งของจำเลยได้ พิพากษาให้จำเลยเพิกถอนการแจ้งอายัดรถยนต์พิพาท ณ สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน กรุงเทพมหานคร หากจำเลยไม่เพิกถอนการแจ้งอายัดให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อรถยนต์พิพาทโดยสุจริตจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นโจทก์ย่อมมีสิทธิครอบครองรถยนต์พิพาทในฐานะผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์จำเลยไม่ได้ชดใช้ราคารถยนต์พิพาทที่ซื้อมาจึงไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนจากโจทก์พิพากษาให้จำเลยเพิกถอนการแจ้งอายัดรถยนต์พิพาทณ สถานีตำรวจนครบาลพหลโยธิน กรุงเทพมหานคร และยกฟ้องแย้งของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาเพียงขอให้ยกฟ้องโจทก์โดยไม่ขอให้บังคับคดีตามฟ้องแย้งของจำเลยด้วย คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับฟ้องแย้งซึ่งถึงที่สุดแล้ว ย่อมผูกพันจำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จึงต้องฟังว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองรถยนต์พิพาท จำเลยไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนโดยไม่ได้ชดใช้ราคารถยนต์พิพาทที่โจทก์ซื้อมา ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยเพิกถอนการอายัดรถยนต์พิพาทจึงรับฟังไม่ได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน