แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รถยนต์กระบะของกลางเป็นของผู้ร้อง แม้ต่อมาผู้ร้องจะทำสัญญากับ ป. และส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวให้ ป. นำไปใช้ แต่สัญญาที่ผู้ร้องกับ ป. ทำขึ้นตามเอกสารหมาย ร.5 นั้นมีข้อความเห็นได้ชัดว่า เป็นสัญญาเช่าซื้อหาได้เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดไม่รถยนต์กระบะดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ 6 ระบุว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน เจ้าของมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้โดยทันที และทางนำสืบของผู้ร้องที่ว่า ป. ชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดเพียงงวดเดียวแล้วไม่ชำระอีกจนรถยนต์กระบะของกลางถูกริบ อันเป็นการผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน แต่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เป็นที่เห็นได้ว่าเพื่อประสงค์จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วน ซึ่งผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดจนกว่าสัญญาเช่าซื้อจะสิ้นสุดลงนั้น กรณีดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกับความผิดทางอาญา หาถือได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์กระบะดังกล่าวได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ และริบของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองและสั่งริบรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียนน-9865 สุพรรณบุรี ของกลาง
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดและเป็นเจ้าของรถยนต์กระบะของกลางซึ่งผู้ร้องให้นายประสพ สืบคาเช่าซื้อไปตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2534 ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดดังกล่าว ขอให้สั่งคืนรถยนต์กระบะหมายเลขทะเบียน น-9865 สุพรรณบุรี ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรถยนต์กระบะของกลาง ที่ผู้ร้องอ้างว่านายประสพเช่าซื้อจากผู้ร้องนั้นเป็นเพียงสัญญาซื้อขายโดยการผ่อนชำระ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงโอนไปยังนายประสพตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกันและในสัญญาเช่าซื้อข้อ 6 ก็ระบุว่า ถ้าผู้เช่าผิดนัดเกินกว่า 1 งวดติดต่อกัน ผู้ร้องมีสิทธิเลิกสัญญา แต่เมื่อนายประสพผิดนัดไม่ชำระ ผู้ร้องมิได้บอกเลิกสัญญา แสดงว่าผู้ร้องมิได้ถือเอากำหนดเวลาเป็นสาระสำคัญ ทั้งสัญญาข้อ 7 ก็ระบุว่าในกรณีที่สัญญาสิ้นสุดลง ผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าที่ค้างทั้งหมด ผู้ร้องจึงมีเจตนาเพียงได้รับเงินให้ครบถ้วนเท่านั้น ถือได้ว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าหมายเลขทะเบียน น-9865 สุพรรณบุรี ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า รถยนต์กระบะของกลางเป็นของผู้ร้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่ารถยนต์กระบะของกลางเป็นของผู้ร้อง แม้ต่อมาผู้ร้องจะทำสัญญากับนายประสพและส่งมอบรถยนต์กระบะของกลางให้นายประสพนำไปใช้ แต่สัญญาที่ผู้ร้องกับนายประสพทำขึ้นตามเอกสารหมาย ร.5 นั้นมีข้อความเห็นได้ชัดว่า เป็นสัญญาเช่าซื้อหาได้เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ รถยนต์กระบะของกลางยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดหรือไม่เห็นว่า แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ 6 ระบุว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน เจ้าของมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้โดยทันที และทางนำสืบของผู้ร้องที่ว่านายประสพชำระเงินค่าประจำงวดเพียงงวดเดียวแล้วไม่ชำระอีกจนรถยนต์กระบะของกลางถูกริบ อันเป็นการผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน แต่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเป็นที่เห็นได้ว่าเพื่อประสงค์จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วนซึ่งผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดจนกว่าสัญญาเช่าซื้อจะสิ้นสุดลงนั้น กรณีดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกับความผิดทางอาญา หาถือได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์กระบะของกลางได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน