คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7322/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ขณะเกิดเหตุดาบตำรวจ บ. และดาบตำรวจ ส. แต่งกายในเครื่องแบบเจ้าพนักงานตำรวจ พกพาอาวุธปืนสั้นแบบเปิดเผย กำลังมอบหมายให้ อ. ซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานดำเนินการจับกุม ส. โดยทำการใส่กุญแจมือ ส. ได้เพียงข้างเดียว แล้ว ส. ดิ้นรนขัดขืน พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นใครเห็นก็ต้องทราบดีว่า ส. กำลังถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมอยู่ ไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องทราบว่า ส. ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาอะไร เชื่อว่าจำเลยทราบดีว่าเจ้าพนักงานตำรวจและ อ. กำลังเข้าจับกุม ส. อยู่ จำเลยเข้ามาช่วย ส. โดยช่วยดึงแขนดาบตำรวจ บ. และดาบตำรวจ ส. จนเป็นเหตุให้ดาบตำรวจ บ. หกล้ม อาวุธปืนสั้นหล่นลงที่พื้น การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่และเป็นการกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้ายตาม ป.อ. มาตรา 138 วรรคสองแล้ว แต่เจ้าพนักงานตำรวจและ อ. ยังไม่สามารถจับกุม ส. ได้ จึงฟังไม่ได้ว่า ส. ถูกคุมขังอยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญา การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 191

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 138, 191
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง, 191 วรรคแรก ประกอบวรรคสาม, 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันกระทำด้วยประการใดให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหลุดพ้นจากการคุมขังไปโดยใช้กำลังประทุษร้าย จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้กำลังประทุษร้าย และฐานร่วมกันกระทำด้วยประการใดให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาหลุดพ้นจากการคุมขังไปโดยใช้กำลังประทุษร้ายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าพยานโจทก์ทั้งสามเบิกความสอดคล้องต้องกัน โดยพยานต่างไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองจำเลยมาก่อน เฉพาะอย่างยิ่งพยานโจทก์ปากดาบตำรวจบุญสมและดาบตำรวจสมควรเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ จึงไม่มีเหตุให้ต้องระแวงว่าจะแกล้งปั้นแต่งเรื่องขึ้นเพื่อใส่ร้ายจำเลย คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้และฎีกาว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยได้ยินนางเซอยู่เหมยพูดว่า ไม่ต้องตี ๆดังมาจากบ้านนายเสถียร จำเลยจึงเดินไปที่บ้านนายเสถียร และเห็นเจ้าพนักงานตำรวจกำลังฉุดกระชากอยู่กับนางเซอยู่เหมย ทำให้กระจกซึ่งอยู่ที่ผนังบ้านล้มลงแตก จำเลยเกรงว่าจะมีผู้เหยียบกระจกดังกล่าว จึงเข้าไปในบ้านนายเสถียรเพื่อนำผ้าขนหนูไปวางปิดทับเศษกระจกจากนั้นจำเลยเดินออกมาจากบ้านนายเสถียรโดยมิได้สนใจดูเหตุการณ์นั้น เห็นว่า จำเลยเบิกความกล่าวอ้างเพียงลอย ๆ จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ดังนี้ เมื่อขณะเกิดเหตุดาบตำรวจบุญสมและดาบตำรวจสมควรแต่งกายในเครื่องแบบเจ้าพนักงานตำรวจพกพาอาวุธปืนสั้นแบบเปิดเผย กำลังมอบหมายให้นายอาเจ๊ะซึ่งเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานดำเนินการจับกุมนายเสถียร โดยทำการใส่กุญแจมือนายเสถียรได้เพียงข้างเดียว แล้วนายเสถียรดิ้นรนขัดขืน พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนั้นใครเห็นก็ต้องทราบดีว่านายเสถียรกำลังถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมอยู่ ไม่จำเป็นที่จำเลยจะต้องทราบว่านายเสถียรถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาอะไร จำเลยมีอายุ 30 ปี ไม่ปรากฏว่ามีเหตุบกพร่องทางจิต จะปฏิเสธว่าไม่ทราบว่าเจ้าพนักงานตำรวจกำลังดำเนินการจับกุมนายเสถียรอยู่นั้นฟังไม่ขึ้น ข้อเท็จจริงเชื่อว่าจำเลยทราบดีว่าเจ้าพนักงานตำรวจและนายอาเจ๊ะกำลังเข้าจับกุมนายเสถียรอยู่ แล้วจำเลยกับนางเซอยู่เหมยเข้ามาช่วยนายเสถียรเพื่อไม่ให้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตัวได้ โดยช่วยดึงแขนดาบตำรวจบุญสมและดาบตำรวจสมควร จนเป็นเหตุให้ดาบตำรวจบุญสมหกล้ม อาวุธปืนสั้นหล่นลงที่พื้น การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ และเป็นการกระทำโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง แล้ว แต่เจ้าพนักงานตำรวจและนายอาเจ๊ะยังไม่สามารถจับกุมนายเสถียรได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่านายเสถียรถูกคุมขังอยู่ในอำนาจของเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสืบสวนคดีอาญาการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 191 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกายังไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 ลงโทษจำคุก 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

Share