แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
แม้ที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกจะติดแม่น้ำบางปะกง แต่ก็ได้ความว่า ปัจจุบันแม่น้ำบางปะกงไม่ได้ใช้เป็นทางสัญจร คงมีแต่เรือหาปลา ไม่มีเรือโดยสาร โดยกิจการเรือโดยสารได้เลิกมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วก็ได้ใช้เส้นทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งเส้นทางพิพาทมีความกว้างประมาณ 3 เมตร ดังนี้ กรณีที่ดินโจทก์จึงต้องตามบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1349 วรรคสอง คือ ที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แต่ต้องข้ามสระ บึง ทะเล หรือสภาพยากลำบากในทำนองเดียวกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเพื่อขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลยทั้งสามออกสู่ทางสาธารณะได้
เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ที่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์อยู่แบ่งแยกออกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 1638 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเหตุให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ไม่มีทางบนบกออกสู่ทางสาธารณะได้โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะได้เช่นกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1350
สิทธิในทางจำเป็นย่อมเกิดขึ้นโดยอำนาจของกฎหมายตามสภาพความเป็นจริงของที่ดินในปัจจุบัน ข้ออ้างของฝ่ายจำเลยทั้งสามที่ว่าโจทก์สมัครใจซื้อที่ดินซึ่งไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะทำให้ซื้อในราคาถูกกว่าปกติ ส่อเจตนาว่าจะไม่ใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะนั้น มิได้ทำให้สิทธิในทางจำเป็นของโจทก์ระงับสิ้นไปแต่อย่างใด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 11301 ตำบลท่าสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้จำเลยทั้งสามในฐานะส่วนตัวและทายาทของนางแก้ว โชคประเสริฐ ผู้ตาย จดทะเบียนทางพิพาทในที่ดินโฉนดเลขที่ 1638 และที่ซึ่งจำเลยทั้งสามครอบครองตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องภายในเส้นสีแดงให้เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยทั้งสามกับบริวารเปิดประตูเหล็กที่ปิดกั้นทางพิพาทไว้ตามฟ้อง และห้ามไม่ให้ขัดขวางการใช้ทางดังกล่าวของโจทก์กับบริวารอีกต่อไป
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ให้การในทำนองเดียวกันว่า ที่ดินโจทก์อยู่ติดกับแม่น้ำบางปะกงซึ่งเป็นทางสาธารณะอยู่แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้เปิดทางจำเป็นขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ถึงแก่ความตาย นายธนะศักดิ์ โชคประเสริฐ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทตามเส้นหมายสีส้มในแผนที่วิวาท เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ตำบลท่าสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้จำเลยทั้งสามกับบริวารเปิดประตูเหล็กที่ปิดกั้นทางพิพาทไว้และห้ามไม่ให้ขัดขวางการใช้ทางพิพาทของโจทก์กับบริวารอีกต่อไป คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 11301 เป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากจำเลยที่ 1 โดยเป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1638 ตำบลท่าสะอ้าน อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกติดกับแม่น้ำบางปะกง โจทก์ใช้เส้นทางพิพาทตามเส้นหมายสีส้มเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะ ผ่านที่ดินโฉนดเลขที่ 1638 และที่ดินของนางแก้ว โชคประเสริฐ ตามแผนที่วิวาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสามว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ เห็นว่า แม้ทางพิพาททางด้านทิศตะวันออกจะติดแม่น้ำบางปะกง แต่ก็ได้ความจากพยานโจทก์และพยานจำเลยตรงกันว่า ปัจจุบันแม่น้ำบางปะกงไม่ได้ใช้เป็นทางสัญจร คงมีแต่เรือหาปลา ไม่มีเรือโดยสาร โดยกิจการเรือโดยสารได้เลิกมาหลายสิบปีแล้ว โดยเฉพาะนายจำลอง โชคประเสริฐ พยานโจทก์ซึ่งเป็นน้องชายของจำเลยทั้งสาม เบิกความว่า ปัจจุบันแม่น้ำบางปะกงมีแต่เรือหาปลา ไม่มีเรือโดยสาร เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วก็ได้ใช้เส้นทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งเส้นทางพิพาทมีความกว้างประมาณ 3 เมตร ไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์ปากนี้มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยทั้งสามมาก่อนจึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้มาก กรณีนี้ที่ดินโจทก์จึงต้องตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 วรรคสอง คือ ที่ดินโจทก์มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แต่ต้องข้ามสระ บึง ทะเล หรือสภาพยากลำบากในทำนองเดียวกัน โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องเพื่อขอเปิดทางจำเป็นผ่านที่ดินจำเลยทั้งสามออกสู่ทางสาธารณะได้ อีกประการหนึ่งเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ซึ่งโจทก์ครอบครองถือกรรมสิทธิ์อยู่เป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินโฉนดเลขที่ 1638 และเมื่อครั้งที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 รวมอยู่กับที่ดินโฉนดเลขที่ 1638 นั้น ได้มีทางพิพาทเป็นทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว ดังนั้น เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ที่โจทก์ถือกรรมสิทธิ์อยู่แบ่งแยกออกมาจากโฉนดที่ดินเลขที่ 1638 เป็นเหตุให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ไม่มีทางบนบกออกสู่ทางสาธารณะได้โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิใช้ทางพิพาทออกสู่ทางสาธารณะได้เช่นกัน ทั้งนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 ส่วนที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า โจทก์สมัครใจซื้อที่ดินซึ่งไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะทำให้ซื้อในราคาถูกกว่าปกติ ส่อเจตนาว่าจะไม่ใช้ทางพิพาทเป็นทางออกสู่ถนนสาธารณะนั้น ก็เป็นเพียงการกล่าวอ้างลอย ๆ ของฝ่ายจำเลยทั้งสามเอง แต่กลับได้ความจากนายจำลอง โชคประเสริฐ น้องชายของจำเลยทั้งสามว่า หลังจากโจทก์แบ่งซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 11301 ไปแล้ว โจทก์ได้ใช้ทางพิพาทออกสู่ถนนสาธารณะเรื่อยมา ทั้งสิทธิในทางจำเป็นนั้น ย่อมเกิดขึ้นโดยอำนาจของกฎหมายตามสภาพความเป็นจริงของที่ดินในปัจจุบัน ข้ออ้างของฝ่ายจำเลยทั้งสามมิได้ทำให้สิทธิในทางจำเป็นของโจทก์ระงับสิ้นไปแต่อย่างใด ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไปมีว่า ทางจำเป็นสมควรมีความกว้างเพียงใด ข้อนี้ได้ความจากนายจำลองว่า ทางพิพาทมีความกว้างประมาณ 3 เมตร ได้ใช้เป็นทางเข้าออกร่วมกันมานานแล้วทั้งฝ่ายโจทก์และจำเลยทั้งสาม เมื่อคำนึงถึงสภาวะปัจจุบันการใช้ยานพาหนะรถยนต์เป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตปกติ ดังนั้น การกำหนดทางจำเป็นกว้าง 3 เมตร จึงเป็นไปตามสภาพถนนที่มีอยู่และกระทบต่อประโยชน์ของจำเลยทั้งสามน้อยที่สุด จึงชอบด้วยเหตุผลและเหมาะสมแล้ว ปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า ทางจำเป็นครอบคลุมถึงที่ดินนางแก้ว โชคประเสริฐ หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าทางพิพาทนั้นเป็นเส้นทางที่โจทก์และจำเลยทั้งสามเคยใช้ออกสู่ทางสาธารณะมาก่อนภายหลังเมื่อโจทก์กับนางแก้วทะเลาะกันฝ่ายจำเลยทั้งสามจึงปิดเส้นทางดังกล่าวและโจทก์ได้เคยฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 905/2538 ของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลพิพากษาว่าทางพิพาทดังกล่าวเป็นทางสาธารณะ คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องโจทก์ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นในคดีนี้ ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยทั้งสามรับว่าเป็นบุตรของนางแก้วซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้ว จำเลยที่ 3 ได้ครอบครองที่ดินของนางแก้วดังกล่าวในฐานะทายาทสืบมา การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามเป็นบุตรของนางแก้วและเป็นทายาทของนางแก้ว ตลอดจนอ้างแผนที่สังเขปท้ายฟ้องครอบคลุมถึงที่ดินของนางแก้วที่จำเลยที่ 3 ครอบครองอยู่ในฐานะทายาท จึงเป็นการฟ้องที่แสดงแจ้งชัดในการฟ้องครอบคลุมที่ดินกองมรดกของนางแก้วและจำเลยทั้งสามในฐานะทายาทผู้ครอบครองทรัพย์ดังกล่าว ทั้งในคดีนี้จำเลยทั้งสามรับว่าได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวรวมกันโดยยังไม่ได้แบ่งปันทรัพย์มรดกโดยให้จำเลยที่ 3 ครอบครองอาศัย และให้การต่อสู้คดีว่าทางพิพาทในส่วนดังกล่าวมิใช่ทางจำเป็น จึงเป็นลักษณะเข้ามาใช้สิทธิของทายาทต่อสู้คดีครอบคลุมถึงที่ดินมรดกนางแก้วด้วยที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามาทั้งหมดนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน