แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ตามสำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องไม่ได้ระบุว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขาย เพียงแต่ระบุว่า วันนี้นายบัว เครือวงศ์ (โจทก์) ได้นำเงินมาชำระค่าบ้านและที่ดินจำนวน 49,000 บาท โดยราคาซื้อขายตกลงเป็นเงิน 88,200 บาท ยังค้างจ่ายอีก 39,200 บาทผู้ซื้อจะนำมาชำระให้ผู้ขายภายในเดือนพฤษภาคม 2526จำนวน 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 29,200 บาท ถ้าผู้ซื้อไม่นำมาจ่ายให้ในเดือนถัดไป ผู้ขายจะคิดดอกเบี้ยตามเงินที่ค้างจ่ายทุกเดือนตามกฎหมาย ถ้าหากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญายินยอมให้ผู้ขายฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตลอดค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมทุกอย่างในการทวงถามและฟ้องร้องตามความเป็นจริงโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆก็ตาม ซึ่งเมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้วเห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายกันเด็ดขาดโดยชำระราคาในวันซื้อขายส่วนหนึ่งและผ่อนชำระราคาที่เหลืออีกส่วนหนึ่งหากไม่ชำระตามนัดก็ให้คิดดอกเบี้ยได้ตามกฎหมาย เมื่อทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอสังหาริมทรัพย์และทำหนังสือสัญญากันเอง มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่งจะฟ้องร้องบังคับตามสัญญามิได้ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมา ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2526 โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 766 พร้อมบ้านเลขที่ 84 ในราคา88,200 บาท ในวันทำสัญญาโจทก์ได้ชำระราคาให้จำเลยแล้ว 49,000 บาทส่วนที่เหลือ 39,200 บาท โจทก์จะชำระให้จำเลยภายในเดือนพฤษภาคม 2526จำนวน 10,000 บาท และจะชำระให้อีก 29,200 บาท ภายในเดือนถัดไปหากไม่ชำระตามกำหนดจำเลยมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ เมื่อต้นปี 2534โจทก์นำเงิน 39,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเป็นเงิน 2,450 บาท ไปชำระให้จำเลย จำเลยไม่ยอมรับเงินและไม่ปฏิบัติตามสัญญา ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ และรับเงินจำนวน 41,650 บาท จากโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมโอนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา และได้มีการตกลงเลิกสัญญากันแล้ว โดยการทำลายต้นฉบับหนังสือสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย และวินิจฉัยว่าตามคำฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมบ้านพิพาทตามฟ้อง แล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยและวินิจฉัยว่าตามคำฟ้องของโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยผู้จะขายมิใช่เป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่โจทก์ผู้จะซื้อกลับเป็นฝ่ายผิดสัญญาดังนั้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์อุทธรณ์ว่า สัญญาจะซื้อจะขายระบุว่าหากโจทก์ไม่ชำระเงินที่ค้าง จำเลยจะคิดดอกเบี้ยตามกฎหมายทุกเดือนตามสัญญาดังกล่าวจำเลยมีเจตนาต้องการดอกเบี้ย มิได้ถือเอากำหนดเวลาชำระเงินเป็นสำคัญ โจทก์ได้ชำระดอกเบี้ยให้แก่จำเลยตลอดมาจนถึงเดือนมิถุนายน 2533 เมื่อต่างฝ่ายต่างว่าอีกฝ่ายผิดสัญญาจำเป็นต้องสืบพยานเพื่อให้ทราบถึงเจตนาที่แท้จริงของคู่สัญญาการที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษาไปจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาขอให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมบ้านพิพาทกันไว้ ขอให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญา แต่สำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพร้อมบ้านพิพาทโดยวิธีผ่อนชำระราคาและไม่ปรากฎข้อความว่าจะไปทำการจดทะเบียนโอนกันเมื่อใดดังนั้น สัญญาที่โจทก์และจำเลยทำขึ้นจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด มิใช่สัญญาจะซื้อจะขาย เมื่อเป็นสัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านที่ทำกันเองโดยไม่มีการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ ใช้บังคับไม่ได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นด้วยในผล ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่นั้น เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาซื้อขายเพราะสัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะแล้ว รูปคดีจึงไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่แต่อย่างใด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จะต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่หรือไม่ เห็นว่า แม้ตามสำเนาเอกสารท้ายคำฟ้องไม่ได้ระบุว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายเพียงแต่ระบุว่าทำที่ ที่ทำการกำนันตำบลน้ำปลีก เมื่อวันที่ 3พฤษภาคม 2526 และมีข้อความว่า วันนี้ นายบัว เครือวงศ์ (โจทก์)ได้นำเงินมาชำระค่าบ้านและที่ดินจำนวน 49,000 บาท โดยราคาซื้อขายตกลงเป็นเงิน 88,200 บาท ยังค้างจ่าย 39,200 บาท ผู้ซื้อจะนำมาชำระให้ผู้ขายภายในเดือนพฤษภาคม 2526 จำนวน 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก29,200 บาท ถ้าผู้ซื้อไม่นำมาจ่ายให้ในเดือนถัดไป ผู้ขายจะคิดดอกเบี้ยตามเงินที่ค้างจ่ายทุกเดือนตามกฎหมาย ถ้าหากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามสัญญา ยินยอมให้ผู้ขายฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายตลอดค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียมทุกอย่างในการทวงถามและฟ้องร้องตามความเป็นจริงโดยไม่มีข้อแม้ใด ๆ ก็ตาม แต่เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้ว เห็นได้ว่าเป็นการซื้อขายกันเด็ดขาดโดยชำระราคาในวันซื้อขายส่วนหนึ่งและผ่อนชำระราคาที่เหลืออีกส่วนหนึ่ง หากไม่ชำระตามนัดก็ให้คิดดอกเบี้ยได้ตามกฎหมาย เมื่อทรัพย์ที่ซื้อขายกันเป็นอสังหาริมทรัพย์และทำหนังสือสัญญากันเอง มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การซื้อขายจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่ง จะฟ้องร้องบังคับตามสัญญามิได้ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยได้เมื่อโจทก์ฟ้องร้องขอให้บังคับตามสัญญาไม่ได้ คดีจึงไม่จำต้องมีการสืบพยานต่อไป
พิพากษายืน