แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475มาตรา33เป็นบทบัญญัติถึงวิธีการที่โจทก์จะขอลดภาษีต่อกรุงเทพมหานครจำเลยที่1ไว้มิใช่บทบัญญัติถึงขั้นตอนในการที่ศาลจะมีอำนาจพิจารณาค่ารายปีที่พิพาทดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าค่าเช่าที่พนักงานเจ้าหน้าที่นำมากำหนดเป็นค่ารายปีนั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆศาลก็มีอำนาจกำหนดค่ารายปีให้เท่าจำนวนที่สมควรจะให้เช่าได้การที่ศาลภาษีอากรกลางเห็นว่ามีเหตุสมควรลดค่ารายปีและคืนภาษีที่โจทก์ชำระเกินมาให้โจทก์นั้นเป็นการพิพากษาลดค่าภาษีให้โจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475มาตรา39วรรคสองตามที่ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจพิจารณา การที่ศาลภาษีอากรกลางให้จำเลยที่1ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่9พฤศจิกายน2536ซึ่งเป็นวันที่โจทก์นำเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินตามที่พนักงานของจำเลยที่1ประเมินไปชำระนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475มาตรา39วรรคสองเพราะเมื่อศาลให้ลดค่าภาษีต้องคืนเงินส่วนที่ลดนั้นภายใน3เดือนหากไม่คืนในกำหนดดังกล่าวโจทก์จึงจะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยปัญหานี้แม้ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ให้ถูกต้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติกรุงเทพมหานครพ.ศ. 2528 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้บริหาร กระทำการแทนจำเลยที่ 1และเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และพนักงานเก็บภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อาคาร ตึก 10 ชั้น เลขที่ 70 ถนนเพชรบุรี แขวงถนนเพชรบุรีเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ประกอบกิจการให้เช่าห้องพักในชั้นต่าง ๆ รวมทั้งชั้นใต้ดิน โดยมีผู้เช่าประกอบการค้าต่าง ๆรวม 270 ห้อง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2536 พนักงานเก็บภาษีเขตราชเทวีได้แจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินตามมาตรา 24 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475ประเมินค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินของโจทก์ประจำปีภาษี 2534 เป็นค่ารายปี 7,666,320 บาท ค่าภาษี 958,290 บาทประจำปีภาษี 2535 เป็นค่ารายปี 10,181,280 บาท ค่าภาษี1,272,660 บาท ประจำปีภาษี 2536 เป็นค่ารายปี 10,203,600 บาทค่าภาษี 1,275,450 บาท โจทก์ไม่พอใจการประเมินค่ารายปีและค่าภาษีของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยดังกล่าวเพราะเห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงยื่นคำร้องขอให้จำเลยทั้งสองพิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่อีกครั้ง โดยขอให้คิดค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินให้ถูกต้องตามความเป็นจริงดังนี้ ปีภาษี 2534ค่ารายปีเป็นเงิน 4,857,800 บาท ค่าภาษี 607,255 บาท ปีภาษี 2535ค่ารายปีเป็นเงิน 6,055,400 บาท ค่าภาษี 756,925 บาท ปีภาษี 2536ค่ารายปีเป็นเงิน 6,350,000 บาท ค่าภาษี 793,750 บาท โดยโจทก์ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินตามที่ถูกประเมินไปแล้ว ต่อมาวันที่ 4 เมษายน 2537 จำเลยทั้งสองได้มีใบแจ้งคำชี้ขาดตามมาตรา 30 ให้กำหนดค่ารายปีสำหรับปีภาษี 2534, 2535 และ 2536เป็นไปตามที่พนักงานเก็บภาษีของจำเลยประเมิน โจทก์ได้รับใบแจ้งคำชี้ขาดดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2537 ซึ่งโจทก์เห็นว่าการประเมินดังกล่าวไม่ถูกต้อง เนื่องจากโจทก์ประกอบกิจการให้เช่าห้องพักในอาคารตามฟ้อง ซึ่งแบ่งออกเป็น 10 ชั้น ชั้นใต้ดินให้ผู้เช่าประกอบการค้าต่าง ๆ และแบ่งที่ว่างสำหรับผู้มาติดต่อธุรกิจ ที่จอดรถรวมทั้งสำนักงานของโจทก์ ชั้นสองถึงชั้นสิบให้เช่าในราคาที่แตกต่างกันไปตามสภาพของห้องแต่ละห้อง นอกจากนี้โจทก์ต้องบริการสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่นไฟฟ้า น้ำประปา การรักษาความสะอาด การรักษาความปลอดภัย กับจัดสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆได้แก่ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น ที่จอดรถ และเรียกเก็บค่าบริการจากผู้เช่า ค่าบริการสิ่งอำนวยความสะดวกดังกล่าวมิใช่ค่ารายปีตามพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475ตามที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสองนำมารวมคำนวณเป็นค่ารายปีด้วย ทั้งการให้เช่าห้องพักในอาคารตามฟ้อง ผู้เช่าห้องพักเช่าเป็นระยะชั่วคราวจึงมีห้องว่างเป็นประจำ การคำนวณค่ารายปีและค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินที่ถูกต้องจึงต้องคำนวณจากค่าเช่าห้องที่โจทก์ได้รับเพียงอย่างเดียวเป็นค่ารายปีสำหรับปีภาษี 2534 เป็นเงิน 4,857,800 บาท คิดเป็นค่าภาษี 607,255 บาทค่ารายปีสำหรับปีภาษี 2535 เป็นเงิน 6,055,400 บาท คิดเป็นค่าภาษี 756,925 บาท ค่ารายปีสำหรับปีภาษี 2536 เป็นเงิน6,350,000 บาท คิดเป็นค่าภาษี 793,750 บาท ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสองได้ประเมินค่ารายปีและกำหนดค่าภาษีดังกล่าว ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ต้องชำระภาษีปี 2534 เกินไปเป็นเงิน 351,035 บาทปี 2535 เกินไปเป็นเงิน 515,735 บาท ปี 2536 เกินไปเป็นเงิน481,600 บาท รวมเป็นเงินค่าภาษีที่โจทก์ชำระเกินไปจำนวน1,348,370 บาท ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน1,348,370 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2536 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน50,563 บาท แก่โจทก์และให้ชำระค่าเสียหายเท่ากับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 1,348,370 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า การกำหนดค่ารายปีและการประเมินเรียกเก็บค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2534, 2535 และ 2536ของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ถูกต้องตามความเป็นจริงและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,051,920 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้องจำเลย
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์ ต่อ ศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดโจทก์เป็นเจ้าของอาคาร 10 ชั้น เลขที่ 70 ถนนเพชรบุรีแขวงถนนเพชรบุรี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4ตุลาคม 2536 พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ได้ประเมินค่ารายปีและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินของอาคารดังกล่าวประจำปีภาษี2534, 2535 และ 2536 เป็นเงิน 958,290 บาท 1,272,660 บาทและ 1,275,450 บาท ตามลำดับ โจทก์ได้ชำระค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินตามที่ถูกประเมินแล้ว แต่โจทก์เห็นว่าการประเมินไม่ถูกต้องจึงอุทธรณ์ขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ คณะกรรมการพิจารณาแล้วมีมติยืนตามการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว
มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อแรกซึ่งจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่เคยขอลดหย่อนภาษีต่อจำเลยที่ 1 การที่ศาลภาษีอากรกลางลดค่ารายปีและคืนภาษีบางส่วนให้โจทก์เป็นการขัดต่อมาตรา 33 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 นั้น เห็นว่า ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวเป็นบทบัญญัติถึงวิธีการที่โจทก์จะขอลดภาษีต่อจำเลยที่ 1 ไว้มิใช่บทบัญญัติถึงขั้นตอนในการที่ศาลจะมีอำนาจพิจารณาค่ารายปีที่พิพาท ดังนั้นเมื่อทางพิจารณาข้อเท็จจริงได้ความว่า ค่าเช่าที่พนักงานเจ้าหน้าที่นำมากำหนดเป็นค่ารายปีนั้น มิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่ารายปีให้เท่าจำนวนที่สมควรจะให้เช่าได้ การที่ศาลภาษีอากรกลางเห็นว่ามีเหตุสมควรลดค่ารายปีและคืนภาษีที่โจทก์ชำระเกินมาให้โจทก์นั้นเป็นการพิพากษาลดค่าภาษีให้โจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 39 วรรคสอง ตามที่ศาลภาษีอากรกลางมีอำนาจพิจารณา
แต่ที่ศาลภาษีอากรกลางให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2536 ซึ่งเป็นวันที่โจทก์นำเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินตามที่พนักงานของจำเลยที่ 1 ประเมินไปชำระนั้นเป็นการไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475มาตรา 39 วรรคสอง เพราะเมื่อศาลให้ลดค่าภาษีต้องคืนเงินส่วนที่ลดนั้นภายใน 3 เดือน หากไม่คืนในกำหนดดังกล่าวโจทก์จึงจะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ย ปัญหานี้แม้ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน1,051,920 บาท แก่โจทก์ ภายใน 3 เดือน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด มิฉะนั้นให้ชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันพ้นกำหนดต้นชำระเงินต้นด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง