แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งเป็นที่ดินต้องห้ามขายภายใน 10 ปี โจทก์บอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยคืนมัดจำและเรียกเบี้ยปรับ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญามาฟ้องจำเลย พิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยคืนมัดจำเนื่องจากสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะ มูลคดีทั้งสองเรื่องและคำขอบังคับเป็นอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน น.ส.๓ ก. ๒ แปลง จากจำเลยโดยมีข้อสัญญาว่าที่ดินทั้งสองแปลงไม่ใช่ที่ดินป่าสงวนที่ทางราชการมีสิทธิที่จะเวนคืน ต่อมาปรากฏว่าที่ดินที่จะซื้อขายนั้นเป็นที่ดินป่าจำแนกซึ่งทางราชการมีสิทธิจะเวนคืนได้ ทำให้โจทก์ไม่สามารถนำไปจัดสรรขาย โจทก์บอกเลิกสัญญาให้จำเลยคืนมัดจำและใช้ค่าเสียหาย จำเลยเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่ในข้อหาผิดสัญญา คืนเงินและเรียกเบี้ยปรับ ศาลจังหวัดเชียงใหม่วินิจฉัยว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะ พิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงทราบว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นโมฆะทำให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยมีหน้าที่คืนมัดจำแก่โจทก์ในฐานลาภมิควรได้ ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ผู้ซื้อที่ดินทราบดีว่ามีประมวลกฎหมายที่ดินห้ามโอนที่ดินภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๒๑ จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินมัดจำคืนในฐานลาภมิควรได้และทราบดีว่าที่ดินทั้งสองแปลงอยู่ในเขตป่าจำแนกตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๘ โจทก์มาฟ้องคดีนี้วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ คดีเรื่องลาภมิควรได้จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทมีข้อห้ามโอนขายภายใน ๑๐ ปี ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๕๘ ทวิ แต่โจทก์ฝ่าฝืนทำสัญญาจะซื้อจะขายกับจำเลย จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ มาตรา ๔๑๑ มิให้เรียกทรัพย์ที่ได้ชำระแล้วคืน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนของศาลชั้นต้น พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องคดีนี้ไม่ซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๑/๒๕๒๘ ของศาลชั้นต้นนั้น ได้ความว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๑/๒๕๒๘ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน ๒ แปลง ซึ่งเป็นที่ดินต้องห้ามขายภายใน ๑๐ ปี โจทก์บอกเลิกสัญญาขอให้บังคับจำเลยคืนมัดจำ ๒๖,๓๗๕ บาท และเบี้ยปรับอีก ๒๖,๓๗๕ บาท ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นโมฆะ โจทก์ไม่อาจอาศัยสิทธิจากสัญญาที่เป็นโมฆะมาฟ้องจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดโดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้เรียกให้จำเลยคืนมัดจำ ๒๖,๓๗๕ บาท ตามสัญญาจะซื้อจะขายฉบับเดิมเนื่องจากสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ คดีก่อนกับคดีนี้โจทก์จำเลยจึงเป็นคู่ความเดียวกัน มูลคดีที่ฟ้องทั้งคำขอบังคับซึ่งศาลได้ชี้ขาดในคดีก่อนก็เป็นอย่างเดียวกับคดีนี้ ดังนั้นฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน คือคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๑/๒๕๒๘ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
พิพากษายืน