คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2106-2108/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียภาษีฟ้องข้าหลวงประจำจังหวัดในเรื่องประเมินภาษีและเรียกภาษีที่เก็บเกินไปคืน และข้าหลวงประจำจังหวัดคนใหม่ขอเข้าเป็นจำเลยแทน ไม่มีผู้ใดคัดค้าน ศาลย่อมรับพิจารณาคดีที่ฟ้องกันนั้น
การประเมินภาษีร้านค้าจากเงินค่าเช่านั้นเจ้าพนักงานประเมินจะต้องมีเหตุผล เป็นข้อเท็จจริงที่จะแสดงว่า ร้านค้านั้น ๆ สมควรให้เช่าได้ในจำนวนเงินสูงกว่าค่าเช่าจริง จะเอาค่าเช่าของร้านค้ารายหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุการณ์ฉะเพาะรายมาเป็นมาตรฐานว่าค่าเช่ารายอื่นต่ำเกินสมควรนั้นไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์แต่ละคนฟ้องจำเลยเป็น ๓ สำนวนว่า คณะกรมการอำเภอเมืองโดย ป.สมุหบัญชีได้ประเมินภาษีร้านค้าของโจทก์ไม่ถูกต้อง โจทก์ได้อุทธรณ์ต่อ อ.สรรพากรจังหวัด สรรพากรจังหวัดสั่งให้ลดภาษีให้บางส่วน ซึ่งโจทก์เห็นว่ายังไม่ถูกต้อง จึงอุทธรณ์ต่อขุน ร. ข้าหลวงประจำจังหวัด ๆ วินิจฉัยยืนตามคำชี้ขาดของ อ. ขอให้จำเลยคืนเงินที่เรียกเกิน จำเลยปฏิเสธความรับผิด
ศาลชั้นต้นเห็นว่า สำหรับ ป. กับ อ. จำเลยไม่มีเหตุสมควรที่จะต้องถูกโจทก์ฟ้องร่วมด้วย ความรับผิดในการวินิจฉัยคั่นสุดท้ายตกอยู่แก่ขุน ร.ข้าหลวงประจำจังหวัดแต่ผู้เดียว ให้ยกฟ้องในคดีส่วนตัว ป.และ อ. จำเลย ส่วนขุน ร. เห็นว่าต้องรับผิด พิพากษาให้ขุน ร. จำเลยคืนเงินที่เรียกเกินไปทั้ง ๓ ราย
หลวงอนุมัติราชกิจย้ายมาดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดสุโขทัยสืบแทนขุน ร. ขอเข้าเป็นจำเลยแทน ศาลอนุญาตแล้ว จึงหลวงอนุมัติฯ ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า จริงอยู่ตามประมวลรัษฎากรมาตรา ๗๘ ให้ถือเอาข้อตกลงเรียกเก็บค่าเช่าในการใช้ร้านค้าเป็นเกณฑ์อย่างหนึ่งในการประเมินเงินที่สมควรให้เช่าได้เท่านั้นก็ตาม แต่เจ้าพนักงานประเมินก็จะต้องมีเหตุผลเป็นข้อเท็จจริงที่จะแสดงให้เห็นได้ว่า ร้านค้านั้น ๆ สมควรให้เช่าได้ในจำนวนเงินที่สูงกว่าค่าเช่าจริง จะเอาเหตุการณ์ฉะเพาะรายมาเป็นมาตรฐานว่า ค่าเช่ารายอื่นต่ำเกินสมควรนั้นยังไม่ได้
พิพากษายืน.

Share