แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจาก ผ. ตั้งแต่ปี 2495 ต่อมาจำเลยได้ขอออกโฉนดทับที่ดินพิพาท โจทก์จึงฟ้องขอให้เพิกถอนการออกโฉนดที่ดินและขับไล่จำเลย จำเลยให้การว่าเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินพิพาท แต่หากศาลรับฟังได้ว่าที่ดินที่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดินเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน จำเลยก็ได้แย่งการครอบครองและได้บอกกล่าวถึงเจตนาครอบครองที่ดินดังกล่าวต่อโจทก์รวมระยะเวลากว่า 1 ปี ก่อนโจทก์ฟ้อง เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยและขัดแย้งกันเอง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินที่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือไม่
คำให้การของจำเลยที่ว่า ที่ดินเป็นของจำเลยมาแต่ต้นโดยครอบครองมากว่า10 ปี และโดยผลคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วนั้น มิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในระยะเวลา 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ ฎีกาของจำเลยในข้อดังกล่าวจึงมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)เลขที่ 178 ตำบลหาดเจ้าสำราญ อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เนื้อที่ประมาณ4 ไร่ 3 งาน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2531 โจทก์ทราบว่าจำเลยได้ยื่นคำขอรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดที่ดินและเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดออกโฉนดที่ดินทับที่ดินของโจทก์ดังกล่าวทั้งแปลง โจทก์จึงไปคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินทำการเปรียบเทียบแล้วมีคำสั่งเมื่อวันที่ 26มิถุนายน 2534 ให้ออกโฉนดที่ดินแก่จำเลย ขอให้เพิกถอนการขอออกโฉนดที่ดินของจำเลยตามคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดเพชรบุรี ฉบับที่ 16/94ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2529 ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์ดังกล่าวกับห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยให้การว่าที่ดินที่จำเลยขอออกโฉนดที่ดินนั้นตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 6 ตำบลหาดเจ้าสำราญ อำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี มีเนื้อที่ 2 ไร่เศษและเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินของโจทก์ตามคำฟ้อง จำเลยได้สิทธิการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวตามผลคำพิพากษาของศาลและจำเลยได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวตลอดมากว่า 10 ปี แล้ว แต่หากศาลฟังว่าที่ดินของจำเลยเป็นของโจทก์ จำเลยก็ได้แย่งการครอบครองและได้บอกกล่าวถึงเจตนาการครอบครองที่ดินของจำเลยต่อโจทก์รวมระยะเวลากว่า 1 ปี ก่อนโจทก์ฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการขอออกโฉนดที่ดินของจำเลยตามคำขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน ฉบับที่ 16/94 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2529 ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 178 ตำบลหาดเจ้าสำราญอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่โต้เถียงกันรับฟังเป็นยุติว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 6 ตำบลหาดเจ้าสำราญอำเภอเมืองเพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี เดิมที่ดินดังกล่าวเป็นของนางผิว บุญทรัพย์ ปัจจุบันจำเลยอยู่อาศัยในที่ดินพิพาท เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2529 จำเลยได้ยื่นคำร้องขอรังวัดออกโฉนดที่ดินพิพาทซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดและขึ้นรูปแผนที่ไว้เมื่อวันที่ 7ธันวาคม 2530 ตามระวางแผนที่เอกสารหมาย จ.7 เป็นจำนวนเนื้อที่ 2 ไร่ 3 งาน 45ตารางวา ที่จำเลยฎีกาว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินที่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดินนั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากนางผิวตั้งแต่ปี 2495 ต่อมาจำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินทับที่ดินพิพาท จำเลยให้การว่า ที่ดินที่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดินเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินพิพาท แต่หากศาลรับฟังได้ตามคำฟ้องของโจทก์ว่าที่ดินที่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดินเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินพิพาท จำเลยก็ได้แย่งการครอบครองและได้บอกกล่าวถึงเจตนาครอบครองที่ดินดังกล่าวต่อโจทก์รวมระยะเวลากว่า 1 ปี ก่อนโจทก์ฟ้อง ดังนี้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือของจำเลยและขัดแย้งกันเอง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินตามคำฟ้องเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ดินที่จำเลยขอรังวัดออกโฉนดที่ดินหรือไม่ ส่วนฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาที่จำเลยบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือครอบครอง ซึ่งเป็นการฎีกาว่าโจทก์นำคดีมาฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองเป็นการไม่ชอบนั้น คดีนี้จำเลยให้การว่า ที่ดินเป็นของจำเลยมาแต่ต้นโดยครอบครองมากว่า 10 ปีและโดยผลคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วของศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1476/2533ดังนั้น กรณีจึงไม่เป็นการที่จำเลยแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ คดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่เช่นกันซึ่งศาลชั้นต้นก็ไม่ได้กำหนดประเด็นทั้งสองข้อนี้ไว้และศาลอุทธรณ์ภาค 7ไม่ได้หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยโดยเหตุที่เป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อดังกล่าวจึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 7 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยเพียงว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทหรือไม่ โจทก์มีตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความถึงที่มาของที่ดินพิพาทว่าเมื่อประมาณปี 2495 นายบุญยิ่งพิชัยนุช สามีโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางผิว ซึ่งขณะนั้นที่ดินดังกล่าวยังไม่มีหนังสือสำคัญ หลังจากสามีโจทก์ถึงแก่ความตายในปีเดียวกัน ต่อมาในปี 2498 โจทก์ได้ไปแจ้งการครอบครองเป็นเจ้าของที่ดิน ตามสำเนาแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 178 เอกสารหมาย จ.2 โดยโจทก์ให้นางผิวดูแลที่ดินดังกล่าวแทนโจทก์ตลอดมาเนื่องจากโจทก์ต้องเดินทางไปทำธุรกิจส่วนตัวที่ต่างประเทศหลายปี เมื่อโจทก์กลับจากต่างประเทศจึงทราบว่าจำเลยซึ่งเป็นบุตรเขยนางผิวเข้ามาอยู่ในที่ดินพิพาท ส่วนจำเลยนำสืบว่า เดิมที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ เมื่อประมาณ 40 ปี มาแล้ว นางผิวเจ้าของที่ดินได้แบ่งที่ดินทางด้านทิศตะวันออกเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ยกให้นางละออง บุญทรัพย์และยกที่ดินทางทิศตะวันตกเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ให้แก่นางใบ บุญทรัพย์ ซึ่งทั้งสองคนเป็นบุตรนางผิว ต่อมาเมื่อประมาณปี 2494 จำเลยได้นางละอองเป็นภริยา จำเลยจึงเข้าไปอยู่ในที่ดินพิพาทและอยู่กินกับนางละอองได้ประมาณ 10 ปี นางละอองก็ถึงแก่ความตาย จากนั้นจำเลยได้ครอบครองที่ดินพิพาทเพียงผู้เดียวตลอดมา ต่อมาจำเลยนำที่ดินดังกล่าวไปขอออกโฉนดที่ดิน แต่ระหว่างเสนอผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นนางจำปี หอยเกิดซึ่งเป็นบุตรนางผิวได้ไปคัดค้านโดยอ้างว่านางผิวยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางจำปีแล้วแต่เจ้าพนักงานที่ดินมีความเห็นให้ออกโฉนดที่ดินแก่จำเลย นางจำปีจึงนำคดีมาฟ้องจำเลย ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี เห็นว่า ที่จำเลยอ้างว่าในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1476/2533 ของศาลชั้นต้นที่นางจำปีเป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วนั้นแม้จะมีผลว่าจำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท และคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันนางจำปีและจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่หาได้ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่อาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ไม่ โดยจากทางนำสืบของโจทก์ นอกจากตัวโจทก์จะเบิกความยืนยันว่าเมื่อปี 2495 สามีโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางผิวแต่ยังคงได้มอบหมายให้นางผิวดูแลแทน สามีโจทก์ถึงแก่ความตายในปีเดียวกัน เมื่อปี 2498โจทก์ได้แจ้งการครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1)เอกสารหมาย จ.2 จากนั้นอีก 1 ปี หรือ 2 ปี โจทก์ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แต่โจทก์ยังคงให้นางผิวดูแลที่ดินพิพาทแทนตลอดมาแล้ว โจทก์ยังมีนางจำปีบุตรนางผิวนายเวียน อ่วมอ้อ และนางแสวง แย้มโรจน์ ซึ่งเป็นหลานนางผิวมาเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าวสนับสนุน และแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 178 เอกสารหมาย จ.2 ซึ่งเป็นเอกสารราชการก็ระบุไว้ชัดแจ้งว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าวโดยได้มาตามหนังสือสัญญาซื้อขายลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2495 นอกจากนี้ตามหลักฐานบันทึกถ้อยคำของจำเลยผู้ขอออกโฉนดที่ดิน นางจำปีผู้คัดค้าน และนางผิวต่อเจ้าพนักงานที่ดินเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2501 เอกสารหมาย จ.26 ที่จำเลยเบิกความรับว่าจำเลยได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวและมีลายพิมพ์นิ้วมือของนางผิว ในช่องเจ้าของที่ดินเดิมก็ระบุว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นของนางผิว และนางผิวเจ้าของที่ดินได้ให้ปากคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินตามเอกสารดังกล่าวว่า นางผิวได้ขายที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ทั้งนี้นายสนิท วงศ์ดำเนิน กำนันตำบลหาดเจ้าสำราญ ก็ได้เบิกความเป็นพยานโจทก์โดยยืนยันว่า ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานผู้ทำการรังวัดที่ดินของนางใบ สุนทร ซึ่งมีเขตที่ดินติดกับที่ดินพิพาทไว้ตามเอกสารหมาย จ.5 ว่าโจทก์เจ้าของที่ดินข้างเคียงทางทิศใต้ไม่ได้มาระวังชี้แนวเขตเพราะนับแต่โจทก์ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนางผิวและได้แจ้งการครอบครองไว้เมื่อปี 2498 แล้ว ก็ได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยที่ดินที่โจทก์ซื้อไว้นี้ได้ให้นางผิวดูแลแทน เมื่อนางผิวย้ายไปอยู่ที่อื่น จึงได้ให้จำเลยเฝ้าดูแลแทน เห็นได้ว่าโจทก์มีทั้งพยานบุคคลและพยานเอกสารมาสืบสนับสนุนข้อเท็จจริงตามคำฟ้องว่า สามีโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากนางผิว โดยสามีโจทก์ก่อนถึงแก่ความตายและโจทก์อนุญาตให้นางผิวเจ้าของที่ดินเดิมอยู่อาศัยและทำกินตลอดมา จึงเท่ากับนางผิวครอบครองที่ดินแทนโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โดยจำเลยเป็นเพียงผู้ครอบครองที่ดินดังกล่าวแทนโจทก์เท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน