แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องค้ำประกันลูกหนี้ตามคำพิพากษาชั้นทุเลาการบังคับคดีระหว่างลูกหนี้อุทธรณ์ซึ่งตามสัญญามีผลจนคดีถึงที่สุด โดยนำโฉนดมาวางประกัน ชั้นฎีกาถือหลักประกันเดิม ระหว่างฎีกาโจทก์จำเลยยอมความกันแบ่งชำระหนี้ 18 งวด มีผู้อื่นเข้าค้ำประกันอีกด้วย สัญญาข้อ 8 ยอมคืนโฉนดต่อเมื่อลูกหนี้ชำระหนี้งวดที่ 7 แล้ว เมื่อปรากฏว่าจำเลยยังไม่ได้ชำระเงินงวดที่ 7 และเนื่องจากโจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยฝ่ายเดียว จำเลยไม่มีสิทธิที่จะสละและไม่ได้สิทธิอะไรจากสัญญา กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 852 หนี้เดิมจึงยังคงมีอยู่ ดังนี้ ผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันจึงยังต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เหตุที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยมีผู้ค้ำประกันตามสัญญาดังกล่าวอีก ไม่มีผลทำให้ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเปลี่ยนแปลงไป
ย่อยาว
คดีนี้เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ จำเลยที่ 2ที่ 3 ในฐานะผู้ค้ำประกันและจำนอง ร่วมกันชำระเงินตามสัญญารับสภาพหนี้และตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ย หากไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระให้โจทก์จำเลยทั้งสามอุทธรณ์และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์สั่งว่า ถ้าจำเลยทั้งสามหาประกันสำหรับจำนวนเงินที่จะต้องชำระตามคำพิพากษามาให้เป็นที่พอใจและภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดโดยให้พิจารณารวมกับหลักทรัพย์ที่จำเลยจำนองไว้กับโจทก์ และที่ศาลชั้นต้นบังคับคดีชั่วคราวไว้ ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดีในระหว่างอุทธรณ์ผู้ร้องทั้งสองยอมตนเข้าร่วมค้ำประกันชำระหนี้ดังกล่าวโดยนำโฉนดที่ดินเลขที่ 19662 มาเป็นหลักประกันโดยมอบโฉนดดังกล่าวให้ยึดถือไว้และทำสัญญาค้ำประกันไว้ว่า เมื่อคดีถึงที่สุดโดยจำเลยแพ้คดีโจทก์ และจำเลยไม่นำเงินมาชำระให้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด ผู้ร้องทั้งสองยอมให้บังคับคดีเอาจากที่ดินซึ่งผู้ร้องทั้งสองนำมาวางเป็นประกันต่อศาลในทันที ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะการชำระเงินตามสัญญารับสภาพหนี้ โจทก์และจำเลยทั้งสามฎีกา จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งว่า อนุญาตให้ทุเลาการบังคับไว้ในระหว่างฎีกา โดยถือหลักประกันเดิมที่ทำไว้ในชั้นอุทธรณ์ซึ่งยังมีผลบังคับอยู่ ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และจำเลยทั้งสามตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่าจำเลยทั้งสามยอมร่วมกันชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงินเจ็ดล้านบาทเศษ โดยชำระทันที 500,000 บาท ส่วนที่เหลือขอผ่อน 18 งวด โจทก์จำเลยตกลงกำหนดไว้ในสัญญายอมข้อ 8 ว่า เมื่อชำระหนี้งวดที่ 7 แล้ว โจทก์ยอมให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 19662 หลุดพ้นจากการค้ำประกันในการบังคับคดี โจทก์จำเลยตกลงให้นายเลอพงษ์เป็นผู้ค้ำประกัน การชำระหนี้ตามสัญญายอม โดยผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และยอมให้บังคับคดีเอาจากทรัพย์สินของผู้ค้ำประกันได้จนสิ้นเชิง ศาลฎีกาพิพากษาบังคับคดีตามยอม ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า โจทก์และจำเลยตกลงทำยอมกัน และศาลได้พิพากษาไปตามสัญญายอมแล้ว และได้มีบุคคลอื่นเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันแล้วผู้ร้องมิได้ตกลงและมิได้เข้าค้ำประกันในสัญญาประนีประนอมยอมความนี้ด้วยสัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องทำไว้ต่อศาลในการทุเลาการบังคับคดีย่อมสิ้นสุดไปผู้ร้องจึงหลุดพ้นจากความรับผิด ผู้ร้องจึงขอถอนสัญญาประกันและขอรับโฉนดของผู้ร้องคืน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าคืนโฉนดให้ผู้ร้องไม่ได้ เพราะตามสัญญาประกันผู้ร้องสัญญาจะค้ำประกันจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้คืนโฉนดเลขที่ 19662 ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องทั้งสองทำไว้ในชั้นศาลอุทธรณ์ซึ่งมีผลบังคับถึงขั้นฎีกานั้น ในกรณีที่จำเลยได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โดยการผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยเป็นงวด ๆ เป็นข้อตกลงกันในการบังคับคดี เมื่อสัญญายอมข้อ 8 มีว่า เมื่อจำเลยชำระหนี้งวดที่ 7 แล้ว โจทก์จึงยอมให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 19662 หลุดพ้นจากการค้ำประกันการบังคับคดี และปรากฏจากคำแถลงของโจทก์ว่า จำเลยยังไม่ได้ชำระเงินงวดที่ 7 ให้โจทก์ เช่นนี้ กรณีก็ต้องเป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความ กล่าวคือ ผู้ร้องจึงไม่พ้นไปซึ่งความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันประการหนึ่ง และโดยเหตุที่มูลคดีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยฝ่ายเดียว จำเลยหาได้มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะสละได้ทั้งไม่ได้สิทธิอะไรจากสัญญานั้น กรณีจึงไม่ได้เป็นไปตามมาตรา 852 อีกประการหนึ่งเทียบตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 2325/2521 เหตุนี้เห็นว่าหนี้เดิมยังคงมีอยู่ ผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ได้ทำไว้ต่อศาล และเหตุที่โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยมีผู้ค้ำประกันตามสัญญายอมอีกหามีผลทำให้ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ผู้ร้องได้ทำไว้เปลี่ยนแปลงไปไม่
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น