คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อ้างว่าที่พิพาทหนี้จำเลยที่ 1 สละสิทธิยกให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดตั้งมหาวิทยาลัย แต่จำเลยที่ 1 โต้เถียงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงกันว่าถ้าทางราชการได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นโดยแท้จริงแล้วจำเลยที่ 1 ยอมยกที่พิพาทให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่า และจะได้ทำนิติกรรมต่อคณะกรรมการอำเภอเจ้าของท้องที่ให้เป็นการถูกต้องภายหลัง แต่ก็หาได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นไม่ เช่นนี้ถือว่าข้อเท็จจริงในคดีนี้ยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้สละสิทธิยกที่พิพาทให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับตั้งมหาวิทยาลัย จึงจำเป็นจะต้องฟังหลักฐานพยานต่อไปจนสิ้นกระแสร์ความ ศาลจะสั่งงดสืบพยานเสียยังไม่ชอบ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยจำเลยที่ ๑ สละสิทธิยกให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นสถานที่จัดตั้งมหาวิทยาลัยตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๘๔ ครั้นเมื่อพ.ศ.๒๔๙๔ จำเลยที่ ๑ ได้ทำนิติกรรมและจดทะเบียนยกที่รายนี้ให้แก่จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุตร ขอให้ศาลแสดงว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธิยกที่ให้จำเลยที่ ๒ และนิติกรรมยกให้เป็นโมฆะกับห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง
จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ว่าจำเลยที่ ๑ เคยตกลงกับทางราชการไว้ว่า ถ้าทางราชการได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นโดยแท้จริงแล้ว จำเลยที่ ๑ ยอมยกที่ให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่าและจะได้ทำนิติกรรมต่อคณะกรรมการอำเภอเจ้าของท้องที่ให้เป็นการถูกต้องภายหลัง แต่แล้วหาได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นไม่ ดังนั้นที่พิพาทจึงยังคงเป็นของจำเลยที่ ๑ เพราะยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างมหาวิทยาลัย การที่จำเลยที่ ๑ ทำนิติกรรมยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยเปิดเผยถูกต้องตามระเบียบทุกประการ
จำเลยที่ ๒ สู้ว่าได้รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ ๑ โดยสุจริตได้ครอบครองและให้ผู้อื่นเช่ามา ๓ ปี โจทก์ทราบดีไม่คัดค้าน
จำเลยทั้งสองตัดฟ้องว่าโจทก์ ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงบางข้อและเอกสารที่เกี่ยวกับคดีนี้แล้วสั่งงดสืบพยานคู่ความและเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องได้ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.๒๔๙๖ ม.๓๒ ประกอบด้วย ม.๕๗(๗) เพราะมีอำนาจหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินในจังหวัดนั้น ส่วนปัญหาข้อเท็จจริงฟังว่าจำเลยได้สละที่พิพาทให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินแล้วตาม ป. พ. พ. ม. ๑๓๗๗ และการสละให้เป็นสาธารณสมบัติเช่นนี้หาจำต้องมีพิธีจดทะเบียนอย่างการโอนให้แก่เอกชนไม่ จึงถือว่าที่พิพาทตกเป็นของแผ่นดินตั้งแต่จำเลยได้แสดงเจตนายกให้เทียบตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๒/๒๔๗๕ ที่ ๕๘๓/๒๔๘๓ และที่ ๕๐๖/๒๔๙๐ ดังประการที่จำเลยที่ ๑ ยกที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ ในภายหลังย่อมไม่มีผลจึงพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยสมบูรณ์ นิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ เป็นโมฆะ
จำเลยทั้งสองคนอุทธรณ์ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและสั่งศาลชั้นต้นให้ดำเนินการพิจารณาต่อไปตามกระบวนความ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงซึ่งเป็นข้อสำคัญคู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ ที่ศาลชั้นต้นด่วนงดสืบพยานและพิพากษาคดีนั้นไม่เห็นพ้องด้วย จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปความ
โจทก์ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาประชุมปรึกษาคดีแล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงในคดียังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้สละสิทธิยกที่พิพาทให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับตั้งมหาวิทยาลัย เพราะจำเลยที่ ๑ ยังโต้เถียงอยู่ว่าโจทก์และจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงกันว่า ถ้าทางราชการได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นโดยแท้จริงแล้ว จำเลยที่ ๑ ยอมยกที่พิพาทให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่า และจะได้ทำนิติกรรมต่อคณะกรมการอำเภอเจ้าของท้องที่ให้เป็นการถูกต้องภายหลัง แต่ก็หาได้สร้างมหาวิทยาลัยขึ้นไม่ จึงจำเป็นต้องฟังพยานหลักฐานต่อไปจนสิ้นกระแสร์ความ โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

Share