คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7296/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและ บ. ได้พร้อมกันขณะที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน เชียงใหม่ 1 ก -3620 และ บ. ขับรถจักรยานยนต์ของกลางคดีนี้และยึดรถจักรยานยนต์ทั้งสองคันไว้เป็นของกลาง โดยที่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางคดีนี้ไว้คนละคราวกับที่รับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนเชียงใหม่ 1 ก -3620 จึงต้องฟังว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ของกลางทั้งสองคันไว้ในคราวเดียวกันซึ่งเป็นการกระทำความผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว แต่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยเป็นสองคดีตามจำนวนผู้เสียหายเมื่อจำเลยถูกฟ้องและศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรในคดีก่อนไปแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรเป็นคดีนี้อีก เพราะเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับคดีดังกล่าว สิทธิที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยสำหรับความผิดฐานรับของโจรนั้นเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 335 และ 357 และนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 840/2538 ของศาลชั้นต้น

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 วรรคแรก ลงโทษจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี4 เดือน นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 4810/2541ของศาลชั้นต้น

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องข้อหารับของโจรด้วย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2535ร้อยตำรวจเอกแสวง ฤทธิ์รงค์ กับพวกตั้งจุดตรวจอยู่ที่ริมถนนสายเชียงแสน-เชียงของ ตำบลริมโขง อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย พบจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนตรวจค้นพบแผ่นป้ายวงกลมแสดงการเสียภาษีติดอยู่ที่ที่บังลมด้านขวาของรถระบุว่าหมายเลขทะเบียนเชียงใหม่1 ก – 3620 และนายบุญมีขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้าสีแดงอีกคันหนึ่งไม่ปรากฏหลักฐาน สอบถามจำเลยและนายบุญมีแล้วทั้งสองคนให้การว่าลักรถจักรยานยนต์ทั้งสองคันดังกล่าวมาจากอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ จะนำไปขายยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว จึงจับกุมและแจ้งข้อหาจำเลยและนายบุญมีว่า ร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจรพร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ทั้งสองคันเป็นของกลาง ต่อมาจำเลยและนายบุญมีถูกดำเนินคดีที่ศาลจังหวัดเชียงใหม่ข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียนเชียงใหม่ 1 ก – 3620 จำเลยให้การรับสารภาพข้อหารับของโจร ศาลจังหวัดเชียงใหม่พิพากษาลงโทษจำคุก2 ปี 6 เดือน ตามคดีหมายเลขแดงที่ 2582/2535 จำเลยพ้นโทษจำคุกเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2537 จากนั้นจำเลยถูกดำเนินคดีนี้ข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร รถจักรยานยนต์ที่ถูกยึดเป็นของกลางอีกคันหนึ่งซึ่งเป็นของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรเป็นคดีนี้อีกหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีสิทธินำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรเป็นคดีนี้ได้อีกเพราะเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันกับการรับของโจรตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2582/2535 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่นั้น เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและนายบุญมีได้พร้อมกันขณะที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน เชียงใหม่ 1 ก – 3620และนายบุญมีขับรถจักรยานยนต์ทั้งสองคันไว้เป็นของกลางโดยที่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับรถจักรยานยนต์ของกลางคดีนี้ไว้คนละคราวกับที่รับรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน เชียงใหม่ 1 ก -3620 จึงต้องฟังว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ของกลางทั้งสองคันไว้ในคราวเดียวกันซึ่งเป็นการกระทำความผิดฐานรับของโจรกรรมเดียว แต่โจทก์ได้แยกฟ้องจำเลยเป็นสองคดีตามจำนวนผู้เสียหายเมื่อจำเลยถูกฟ้องและศาลมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจรตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2582/2535 ของศาลจังหวัดเชียงใหม่แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานรับของโจรเป็นคดีนี้อีก เพราะเป็นความผิดกรรมเดียวกันกับคดีดังกล่าว สิทธิที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยสำหรับความผิดฐานรับของโจรนั้นเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(4) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องฐานรับของโจรด้วยนั้น ชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share