แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกับพวกให้ที่พักอาศัยและซ่อนเร้นคนต่างด้าวรวม 43 คน เพื่อให้พ้นจากการจับกุม และรับคนต่างด้าวดังกล่าวเข้าทำงานโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ในวันนัดสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำให้การว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับคนต่างด้าวเพียง 6 คน ศาลชั้นต้นสอบจำเลยแล้วยืนยันให้การตามนี้ แต่ในวันเวลาเดียวกัน ศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาและบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่า จำเลยขอถอนคำให้การเดิมปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งอยู่ด้วยในขณะที่ศาลชั้นต้นพิจารณาเข้าใจได้ว่าศาลชั้นต้นสอบคำให้การจำเลยอีกครั้งหลังจากจำเลยยื่นคำให้การและจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ การที่โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานจึงมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทราบแล้วว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์บางส่วน แต่โจทก์ไม่สืบพยานดังที่จำเลยฎีกา แม้ต่อมาจำเลยจะยื่นคำแถลงประกอบคำรับสารภาพก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ระบุว่าจำเลยรับว่ามีคนงานเพียง 6 คน แต่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งให้ส่งสำเนาแก่โจทก์ จึงไม่ถือว่าโจทก์ทราบว่าจำเลยให้การปฏิเสธตามคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าว กรณีจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยเห็นว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยผิดหลง จึงมิได้เปิดโอกาสให้โจทก์สืบพยาน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีเฉพาะที่เกี่ยวกับคนต่างด้าวเพียง 6 คน จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ชั้นสอบคำให้การจำเลยเป็นต้นไป แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 4, 11, 12, 64 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2521 มาตรา 5, 7, 8, 22, 39 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ โจทก์และจำเลยไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2511 มาตรา 39 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันให้ที่พักซ่อนเร้นคนต่างด้าว จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันรับบุคคลต่างด้าวไม่มีใบอนุญาตเข้าทำงาน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 9 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่ชั้นสอบคำให้การจำเลยเป็นต้นไป แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ในวันสืบพยานโจทก์ โจทก์ทราบว่าจำเลยให้การว่ากระทำความผิดเกี่ยวกับบุคคลต่างด้าวเพียง 6 คน และคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยเป็นการขยายความคำรับสารภาพของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดช่วยเหลือคนต่างด้าวและรับคนต่างด้าวเข้าทำงานเพียง 6 คน ซึ่งจำเลยทำสำเนาให้โจทก์แล้วถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องสืบพยานให้ได้ความตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่สืบพยาน ศาลชั้นต้นต้องพิพากษายกฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่ชั้นสอบคำให้การจำเลยจึงไม่ชอบ เห็นว่า จำเลยยื่นคำให้การ ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ว่า จำเลยขอกลับคำให้การเป็นขอรับสารภาพว่ามีบุคคลต่างด้าวเพียง 6 คน แม้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าสอบจำเลยแล้วยืนยันให้การตามนี้ สำเนาให้โจทก์ อันฟังได้ว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำให้การแล้วตามที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่ในวันเวลาเดียวกันศาลชั้นต้นออกนั่งพิจารณาคดีตามรายงานกระบวนพิจารณาและบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่า อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยขอถอนคำให้การเดิมปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ปรากฏตามคำให้การจำเลยฉบับลงวันที่วันนี้ ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งอยู่ด้วยในขณะที่ศาลชั้นต้นพิจารณาเข้าใจได้ว่าศาลชั้นต้นสอบคำให้การจำเลยอีกครั้งหลังจากจำเลยยื่นคำให้การ และจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการ การที่โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานจึงมิใช่เป็นกรณีที่โจทก์ทราบแล้วว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์บางส่วน แต่โจทก์ไม่สืบพยานดังที่จำเลยฎีกา แม้ต่อมาจำเลยจะยื่นคำแถลงประกอบคำรับสารภาพก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ระบุว่าจำเลยรับว่ามีคนงานเพียง 6 คน เท่านั้นที่ไม่มีใบอนุญาตให้ทำงาน แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารวม โดยไม่ได้มีคำสั่งให้ส่งสำเนาแก่โจทก์ จึงถือว่าโจทก์ทราบว่าจำเลยให้การปฏิเสธตามคำแถลงประกอบคำรับสารภาพของจำเลยไม่ได้ กรณีจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีไปโดยเห็นว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องโดยผิดหลง จึงมิได้เปิดโอกาสให้โจทก์สืบพยาน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยไป จึงเป็นการที่ศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (1) ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาตั้งแต่ชั้นสอบคำให้การจำเลยเป็นต้นไป แล้วพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบแล้ว กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีก
พิพากษายืน