แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงได้ความว่า แถวนั้นมีผู้ร้ายชุกชุมฝ่ายผู้ตายมีพวกมาด้วยกันถึง 3 คน บุกรุกเข้ามาลักทรัพย์ในไร่จำเลย จำเลยร้องทักว่า ใคร 2 ครั้ง ฝ่ายผู้ตายก็ใช้กระบองขว้าง 2 ครั้ง พยายามที่จะทำให้จำเลยกับพวกบาดเจ็บ เป็นการใช้กำลังเพื่อประทุษร้ายจำเลยให้เป็นความสะดวกในการที่ผู้ตายจะทการลักทรัพย์ ขณะเกิดเหตุเดือนมืดมองไม่เห็นกัน จำเลยรู้ไม่ได้ว่าผู้ตายกับพวกมีปืนมีมีดติดตัวมาด้วยหรือไม่ การที่จำเลยใช้ปืนยิงต่อสู้ไปนัดเดียวแล้ววิ่งกลับบ้าน แสดงว่าจำเลยมีความกลัวผู้ร้ายอยู่มาก เห็นได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงไปในขณะที่เห็นได้ว่าภยันตรายใกล้จะถึงตัวจำเลยกับพวกอยู่แล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นไปพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจใช้อาวุธปืนแก๊ปยาวยิงนายนวล แจ่มศรีถึงบาดเจ็บสาหัส และถึงแก่ความตายและบังอาจมีอาวุธปืนแก๊ปยาว ๑ กระบอกไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่
จำเลยให้การปฏิเสธโดยกล่าวว่า ใช้อาวุธปืนยิงขู่ผู้ตายกับพวก ส่วนข้อมีอาวุธปืน จำเลยรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันทรัพย์เกินสมควรแก่เหตุ ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบด้วยมาตรา ๖๘, ๖๙ ซึ่งเป็นกระทงหนักที่สุด จำคุกจำเลย ๒ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยจำต้องใช้อาวุธปืนยิงไปเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘
โจทก์ฎีกา
ศาลฟังข้อเท็จจริงว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยกับนายแสงน้องเมียไปนอนเฝ้าไร่พริกเวลารวม ๒.๐๐ นาฬิกาจำเลยได้ยินเสียงคนเดินก็ตื่นขึ้น เป็นเพียงเก็บพริก มองไม่เห็นตัวกันเพราะมืด จำเลยปลุกนายแสงแล้วร้องถามไปว่าใครเก็บพริก แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบ จำเลยถามซ้ำอีกว่าใคร คนร้ายกลับใช้ไม้กระบองขว้างมา ๒ ครั้ง ตกใกล้ตัวจำเลยและนายแสง จำเลยจึงเอาปืนแก๊ปที่ติดตัวยิงไป ๑ นัดโดยไม่เห็นตัวกัน แล้วจำเลยกับนายแสงก็วิ่งกลับบ้าน นายแสงไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านว่าคนร้ายที่มาเก็บพริกมี ๓ คน แล้วพากันมาดุศพผู้ตายที่เกิดเหตุ มีพริกที่เก็บใส่ในครุไว้
ศาลฎีกาเห็นว่า แถวนั้นจะต้องมีผู้ร้ายชุกชุม จำเลยจึงต้องชวนน้องเมียไปเฝ้าไร่ ฝ่ายผู้ตายมีพวกมาด้วยกันถึง ๓ คน บุกรุกเข้ามาลักทรัพย์ในไร่จำเลย จำเลยร้องทักว่าใคร ๒ ครั้ง ฝ่ายผู้ตายก็ใช้กระบองขว้าง ๒ ครั้ง โดยพยายามที่จะให้จำเลยกับพวกบาดเจ็บ เป็นการใช้กำลังเพื่อประทุษร้ายจำเลยให้เป็นความสะดวกในการที่ผู้ตายกับพวกจะทำการลักทรัพย์ ซึ่งเข้าลักษณะเป็นการปล้นทรัพย์ ทั้งในขณะเกิดเหตุเดือนมืดมองไม่เห็นกันจำเลยจึงรู้ไม่ได้ว่าผู้ตายกับพวกจะมีปืนมีมีดติดตัวมาด้วยหรือไม่ การที่จำเลยใช้ปืนยิงต่อสู้ไปนัดเดียว แล้ววิ่งกลับบ้านไปกับนายแสง แสดงว่าจำเลยก็มีความกลัวผู้ร้ายอยู่มาก ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงไปในขณะที่เห็นได้ว่าภยันตรายใกล้จะถึงตัวจำเลยกับพวกอยู่แล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นไปพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา
พิพากษายืน