คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4995/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยไม่มีอำนาจขายรถยนต์ที่ถูกลักมาให้โจทก์เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์ไปหากโจทก์และผู้ซื้อรถยนต์ต่อจากโจทก์ไม่ยอมให้ยึดก็อาจมีความผิดในทางอาญาและโจทก์ต้องคืนเงินค่ารถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อเพราะโจทก์ผู้ขายไม่สามารถจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อไปยังผู้ซื้อได้และไม่มีเหตุจะอ้างยึดถือเงินค่ารถยนต์ของผู้ซื้อไว้กรณีไม่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องความรับผิดของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับอายุความสามเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา481แต่อยู่ในบังคับอายุความทั่วไปตามมาตรา193/30ซึ่งมีอายุความสิบปีคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ ห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์มิได้บอกกล่าวก่อนฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาซื้อขายรถยนต์แต่การที่ช. บุตรหุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์โทรศัพท์แจ้งจำเลยว่ารถยนต์ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไปเพราะเป็นรถยนต์ที่ถูกลักมาจำเลยทราบแล้วนิ่งเฉยจนโจทก์ยื่นฟ้องถือได้ว่าได้ถูกโต้แย้งสิทธิแล้วคำฟ้องโจทก์เป็นการบอกกล่าวจำเลยอยู่ในตัว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อรถยนต์ไว้จากจำเลยในราคา 380,000 บาทและชำระราคาครบถ้วนแล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์คันดังกล่าวไปเนื่องจากเป็นรถยนต์ที่ถูกลักมาทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินค่ารถยนต์พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 394,280 บาทกับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 380,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเนื่องจากมิได้ฟ้องภายใน 3 เดือน นับแต่โจทก์ได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอกหรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง โจทก์มิได้บอกกล่าวจำเลยทราบล่วงหน้าก่อนฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 380,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาตามฎีกาจำเลยข้อแรกที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น เห็นว่า รถยนต์พิพาทที่จำเลยขายไปไม่สามารถจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อผู้ซื้อได้ เพราะเป็นรถยนต์ที่ถูกลักมาจำเลยไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทจึงไม่มีอำนาจขายรถยนต์นั้น เมื่อรถยนต์พิพาทถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไปโดยอ้างอำนาจของกฎหมายซึ่งหากโจทก์และผู้ซื้อไม่ยอมให้ยึดก็อาจต้องมีความผิดในทางอาญาโจทก์โดยนายสุพล หุ้นส่วนผู้จัดการต้องคืนค่ารถยนต์ให้แก่ผู้ซื้อการคืนเงินแก่ผู้ซื้อเพราะโจทก์ผู้ขายไม่สามรถจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อไปยังผู้ซื้อได้ และไม่มีเหตุจะอ้างในการยึดถือเงินค่ารถยนต์ของผู้ซื้อไว้ กรณีจึงไม่เป็นการยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องความรับผิดของจำเลยจึงไม่อยู่ในบังคับอายุความสามเดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 481 แต่อยู่ในบังคับอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 ซึ่งมีอายุความสิบปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
ปัญหาตามฎีกาจำเลยข้อต่อไปมีว่า จำเลยขายรถยนต์พิพาทให้โจทก์หรือไม่ ปัญหานี้โจทก์มีนายสุพล หุ้นส่วนผู้จัดการโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยขายรถยนต์พิพาทให้โจทก์โดยทำสัญญาระบุชื่อนายชูพงศ์บุตรชายพยานไว้แทน กระดาษที่ใช้เขียนสัญญาตามเอกสารหมายจ.2 ที่หัวกระดาษระบุชื่อโจทก์อยู่ จำเลยมิได้นำสืบให้ฟังเป็นอย่างอื่น คงฎีกาโต้แย้งอ้างเหตุผลต่าง ๆ มาลอย ๆ ว่าโจทก์ไม่ใช่ผู้ซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลย ศาลล่างทั้งสองฟังต้องกันว่าจำเลยขายรถยนต์พิพาทให้โจทก์ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาตามฎีกาจำเลยข้อสุดท้ายที่ว่า โจทก์บอกกล่าวก่อนฟ้องหรือไม่ ปัญหานี้แม้ข้อเท็จจริงฟังต้องกันว่าโจทก์มิได้มีการบอกกล่าวก่อนฟ้องก็ตาม แต่การที่นายชูพงศ์โทรศัพท์แจ้งจำเลยว่ารถยนต์พิพาทถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดเพราะเป็นรถยนต์ที่ถูกลักมา จำเลยทราบแล้วนิ่งเฉยไม่ดำเนินการติดตามปัญหาที่ตนในฐานะผู้ขายต้องรับผิดชอบจนโจทก์ยื่นฟ้อง ถือได้ว่าโจทก์ได้ถูกโต้แย้งสิทธิแล้ว คำฟ้องโจทก์จึงเป็นการบอกกล่าวจำเลยอยู่ในตัว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share