แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4) และมาตรา 78 วรรคหนึ่ง ประสงค์ที่จะลงโทษผู้ขับขี่ขณะขับรถมิใช่กรณีจอดรถอยู่ การที่จำเลยกระทำโดยประมาทจอดรถยนต์บนถนนในมืดโดยไม่เปิดสัญญาไฟและไม่ทำสัญญาณแสดงว่ามีรถยนต์จอดอยู่ เป็นเหตุให้ผู้ตายซึ่งขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมาชนท้ายรถยนต์ของจำเลย แล้วจำเลยหลบหนีไป จึงไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 43(4),78 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือจำเลยขับรถยนต์บรรทุกหมายเลขทะเบียน 80-2412 ร้อยเอ็ด ไปตามถนนสายอำเภอกมลาไสย – อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ จากอำเภอกมลาไสย มุ่งหน้าไปทางอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง เมื่อจำเลยขับรถคันดังกล่าวมาถึงบริเวณกิโลเมตรที่ 7 ถึงที่ 8 จำเลยได้จอดรถยนต์บนถนน ซึ่งเป็นบริเวณที่มืดไม่มีแสงไฟใด ๆ ตัวรถยนต์ล้ำอยู่บนช่องเดินรถ โดยจำเลยไม่เปิดสัญญาไฟใด ๆ และไม่ทำสัญญาณใด ๆ แสดงว่ามีรถยนต์จอดอยู่ในระยะห่างพอสมควรให้รถที่ใช้เส้นทางดังกล่าวทราบได้ว่าข้างหน้ามีรถยนต์จอดอยู่ เป็นเหตุให้นายชวลิตหรือชวลิต บรรพจันทร์ ซึ่งขับรถจักรยานยนต์ มุ่งหน้าไปทางเดียวกันกับรถยนต์ของจำเลย ขับชนท้ายรถยนต์ของจำเลยเป็นเหตุให้รถทั้งสองคนได้รับความเสียหายและนายชวลิตกับนายจีรชัย วงศ์กมลาไสย ผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ถึงแก่ความตาย ภายหลังจากที่จำเลยซึ่งขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นดังกล่าวแล้วจำเลยได้หลบหนีโดยไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร พร้อมทั้งไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที กับไม่แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 291พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 78, 157, 160
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4),78 วรรคหนึ่ง, 157, 160 วรรคหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและฐานขับรถโดยประมาทเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 4 ปี ฐานหลบหนีไม่แสดงตัวและแจ้งเหตุ จำคุก 2 เดือน รวม 2 กระทง จำคุก 4 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 1 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่สมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าจำเลยกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 78 วรรคหนึ่ง หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน 80-2412 ร้อยเอ็ด ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์โดยจอดรถยนต์คันดังกล่าวบนถนนซึ่งเป็นบริเวณที่มืดไม่มีแสงไฟใด ๆ ตัวรถยนต์ล้ำอยู่บนช่องเดินรถโดยไม่เปิดสัญญาณไฟใด ๆ และไม่ทำสัญญาใด ๆ แสดงว่ามีรถยนต์จอดอยู่ในระยะห่างพอสมควรให้รถที่ใช้เส้นทางดังกล่าว ทราบได้ว่าข้างหน้ามีรถยนต์จอดอยู่ ซึ่งจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่จำเลยหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้นายชวลิต บรรพจันทร์ ซึ่งขับรถจักรยานยนต์มุ่งหน้าไปทางเดียวกันกับรถยนต์ของจำเลย ขับชนท้ายรถยนต์ของจำเลย และทำให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหาย นายชวลิตและนายจีรชัย วงศ์กมลาไสย ผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ถึงแก่ความตาย ภายหลังจากที่จำเลยซึ่งขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นดังกล่าวแล้ว จำเลยได้หลบหนีโดยไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร จากคำบรรยายฟ้องดังกล่าวเห็นได้ว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยจอดรถยนต์อยู่บนถนนมิใช่จำเลยขับรถยนต์อยู่ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4) บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ขับขี่รถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และมาตรา 78 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถ หรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุลและที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย ความมุ่งหมายของกฎหมายทั้งสองมาตรา ดังกล่าวประสงค์ที่จะลงโทษผู้ขับขี่ซึ่งขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และลงโทษผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที หาใช่กรณีผู้ขับรถที่จอดรถอยู่ไม่เหตุคดีนี้เกิดเพราะจำเลยกระทำโดยประมาทจอดรถยนต์บนถนนในที่มืดโดยไม่เปิดสัญญาณไฟและไม่ทำสัญญาณแสดงว่ามีรถยนต์จอดอยู่ เป็นเหตุให้ผู้ตายทั้งสองซึ่งขับรถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันมาชนท้ายรถยนต์ของจำเลย แล้วจำเลยหลบหนีไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4), 78 วรรคหนึ่ง ตามที่โจทก์ฟ้อง แม้จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลก็ไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์ได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความยกขึ้นอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ปรับ 10,000 บาท ลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี และคุมความประพฤติจำเลยไว้ 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟัง โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายใน 1 ปี ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรกำหนด กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 20 ชั่วโมงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามมาตรา 29, 30 ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดต่อพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4