คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 594/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นอุทธรณ์และขอให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือไปยังศาลจังหวัดสงขลาเพื่อจัดส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลย ต่อมาโจทก์แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า ส่งสำเนาอุทธรณ์ไม่ได้ ขอสืบหาภูมิลำเนา ศาลชั้นต้นสั่งว่า “อนุญาตให้สืบหาภูมิลำเนาได้ภายในวันที่ 20 มกราคม 2542” วันที่ 6 มกราคม 2542 โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยตาย ขอตรวจสอบทายาทหรือผู้จัดการมรดก หรือผู้ปกครองทรัพย์มรดก และสืบว่ามีทรัพย์มรดกหรือไม่แล้วจะขอให้เรียกเข้ามาแทนที่จำเลย หรือกรณีที่จำเลยไม่มีทรัพย์มรดกโจทก์จะถอนอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งว่า “อนุญาตถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2542” คำสั่งดังกล่าวไม่เป็นการขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 42 แต่เป็นดุลพินิจที่จะสั่งได้เพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยรวดเร็ว โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการ การที่โจทก์ไม่ดำเนินการ ถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดอันเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบด้วยมาตรา 246 และตามมาตรา 132 (1)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ๓๑๘,๒๒๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๓๐๑,๒๗๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๒ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ ให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้อีกฝ่ายภายใน ๑๕ วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์ ต่อมาวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๒ เจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่า โจทก์ไม่สามารถนำส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ ๑ เนื่องจากจำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์สืบหาทายาทจำเลยที่ ๑ ถึงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ แต่โจทก์มิได้ดำเนินการแต่อย่างใด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์โจทก์เมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๑ ว่า “…รับอุทธรณ์ของโจทก์ให้ผู้อุทธรณ์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้อีกฝ่ายภายใน ๑๕ วัน มิฉะนั้นถือว่าทิ้งอุทธรณ์” และในวันเดียวกับที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำแถลงว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลจังหวัดสงขลา ขอให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือไปยังศาลจังหวัดสงขลาเพื่อจัดส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นจัดการให้ ต่อมาวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๑ โจทก์ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า พนักงานเดินหมายของศาลจังหวัดสงขลารายงานว่า ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยที่ ๑ ไม่ได้ เนื่องจากเป็นบ้านเช่าและจำเลยที่ ๑ ย้ายไปอยู่ที่อื่น ขอสืบหาภูมิลำเนาที่แน่นอนของจำเลยที่ ๑ เป็นเวลา ๒๐ วัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “อนุญาตให้โจทก์สืบหาภูมิลำเนาของจำเลยได้ภายในวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๒” วันที่ ๖ มกราคม ๒๕๔๒ โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ ๑ ถึงแก่ความตาย ขอตรวจสอบทายาทหรือผู้จัดการมรดก จำเลยที่ ๑ หรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกจำเลยที่ ๑ และสืบว่า จำเลยที่ ๑ มีทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทหรือไม่ เมื่อได้ข้อเท็จจริงประการใดแล้ว โจทก์จะร้องขอให้มีคำสั่งเรียกทายาทหรือบุคคลอื่นใดเข้ามาแทนที่จำเลยหรือกรณีที่จำเลยที่ ๑ ไม่มีทรัพย์มรดก โจทก์จะได้ขอถอนอุทธรณ์ต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า “อนุญาตถึงวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒” คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่เป็นการขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา ๔๒ ดังที่โจทก์ฎีกา แต่เป็นดุลพินิจของศาลชั้นต้นที่จะสั่งได้เพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยรวดเร็ว โจทก์มีหน้าที่ต้องดำเนินการตามคำร้องภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด หากโจทก์มีเหตุไม่สามารถดำเนินการได้ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็ชอบที่จะแจ้งเหตุให้ศาลชั้นต้นทราบเพื่อขอขยายระยะเวลาหรือขอให้มีคำสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เห็นสมควร หรือหากไม่เห็นพ้องกับคำสั่งศาลชั้นต้น ก็ชอบที่จะอุทธรณ์คำสั่งในภายหลังได้ การที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินการตามคำร้องโดยไม่แจ้งเหตุให้ศาลชั้นต้นทราบภายในกำหนดเวลา ต้องถือว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดอันเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๗๔ (๒) ประกอบด้วย มาตรา ๒๔๖ และตามมาตรา ๑๓๒ (๑) ซึ่งนำมาใช้บังคับในชั้นอุทธรณ์ด้วยโดยอนุโลม บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความได้โดยไม่ต้องวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นเรื่องนี้
พิพากษายืน.

Share