คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ด่าโจทก์ว่า “มึงจะหนีไปไหนก็ไป กูจะไม่เลี้ยงมึงแล้ว ทรัพย์สินที่อยากได้ก็มาฟ้องเอาเพราะยกให้แล้ว ถ้ากลับมาอยู่บ้านจะเอายาเบื่อให้กิน” แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นเพียงการกล่าววาจาหยาบคายเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ จำเลยแก้อุทธรณ์ของโจทก์ยอมรับว่า จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อโจทก์จริง แต่กล่าวด้วยความโกรธ ดังนั้น จำเลยจะกลับมาฎีกาโต้แย้งว่าจำเลยมิได้ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำดังกล่าวอีกไม่ได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ จำเลยด่าว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุพการีด้วยถ้อยคำดังกล่าวข้างต้นซึ่งเป็นถ้อยคำที่รุนแรงในลักษณะขับไล่ไสส่ง ไม่ต้องการเลี้ยงดูต่อไปโดยขู่เข็ญว่าจะให้ยาเบื่อกินถ้ากลับมาอีก ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) โจทก์ย่อมเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลย โจทก์ให้ทรัพย์สินที่ดินพร้อมบ้านให้แก่จำเลย เพื่อให้จำเลยเลี้ยงดูโจทก์ แต่ต่อมาวันที่1 ตุลาคม 2530 จำเลยกลับด่าว่าโจทก์ว่า “มึงมาเกี่ยวอะไร มึงให้กูแล้ว กูจะทำอย่างไรก็ได้ วัน ๆ สนุกแดกสนุกกินไม่ต้องทำงานทำการไม่ดีหรือ จะไปไหนก็ไป ขืนกลับไปอยู่บ้านจะเอายาเบื่อให้กิน”และไล่โจทก์ไปจากบ้าน ขอบังคับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมบ้านตามฟ้องคืนให้แก่โจทก์ หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ขับไล่หรือด่าว่าโจทก์ตามฟ้องโจทก์ฟ้องคดีเนื่องจากได้รับคำยุแหย่ของบุคคลอื่น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นมารดาจำเลย โจทก์ยกที่ดินพร้อมบ้านให้แก่จำเลยโดยเสน่หา จำเลยฎีกาประการแรกว่า จำเลยมิได้ด่าว่าขับไล่โจทก์ เห็นว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2530 โจทก์ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินให้แก่บุตรของโจทก์คนอื่น จำเลยไม่ยอมแบ่งให้และได้ด่าโจทก์ด้วยถ้อยคำว่า “มึงจะหนีไปไหนก็ไป กูจะไม่เลี้ยงมึงแล้วทรัพย์สินที่อยากได้ก็มาฟ้องเอาเพราะยกให้แล้ว ถ้ากลับมาอยู่บ้านจะเอายาเบื่อให้กิน” แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นเพียงการกล่าววาจาหยาบคายเท่านั้น ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ พิพากษายกฟ้องโจทก์ จำเลยแก้อุทธรณ์ของโจทก์ยอมรับว่าจำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อโจทก์จริงแต่กล่าวด้วยความโกธร และว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นชอบแล้ว ดังนั้นข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยได้ด่าว่าโจทก์ด้วยถ้อยคำดังกล่าวข้างต้น จำเลยจะกลับมาฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงดังกล่าวอีกไม่ได้เพราะเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ภาค 1ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ที่จำเลยด่าโจทก์ว่า “มึงจะหนีไปไหนก็ไป กูจะไม่เลี้ยงมึงแล้ว ทรัพย์สินที่อยากได้ก็มาฟ้องเอาเพราะยกให้แล้ว ถ้ากลับมาอยู่บ้านจะเอายาเบื่อให้กิน”เป็นการประพฤติเนรคุณต่อโจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ได้ยกที่ดินรวม 4 แปลง และบ้าน 1 หลัง ให้แก่จำเลย โดยเฉพาะเพิ่งยกที่ดินมีโฉนดให้แก่จำเลยก่อนฟ้องเพียง 1 ปีเศษ เมื่อโจทก์ขอให้จำเลยแบ่งที่ดินให้แก่พี่คนอื่นบ้าง จำเลยกลับใช้คำพูดว่าโจทก์ซึ่งเป็นบุพการีด้วยถ้อยคำที่รุนแรง ในลักษณะขับไล่ไสส่ง ไม่ต้องการเลี้ยงดูต่อไปโดยขู่เข็ญว่าจะให้ยาเบื่อกินถ้ากลับมาอีกย่อมถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ผู้ให้อย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(2) แล้ว โจทก์ย่อมเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน

Share