คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ลูกหนี้ตามคำพิพากษาทำนิติกรรมต่อกรมการอำเภอขายนาพิพาทของตน 2 แปลง ให้แก่บุคคลภายนอกโดยสมรู้เจตนาลวงเพื่อป้องกันมิให้เจ้าหนี้ยึดทรัพย์ ดังนี้ถือว่านิติกรรมนั้นเกิดจากเจตนาลวงจึงตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา118และ 133 โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะยึดนาพิพาท 2 แปลงมาขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 329/2480

ย่อยาว

คดีนี้ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าที่นามือเปล่าตำบลบ้านหว้าจังหวัดปราจีนบุรี2 แปลงซึ่งโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขอให้ประกาศขายทอดตลาดนั้นเป็นทรัพย์ของผู้ร้อง ขอให้ถอนการยึด

โจทก์คัดค้านว่านาพิพาท 2 แปลงเป็นของจำเลย จำเลยครอบครองทำนาตลอดมาผู้ร้องเป็นมารดาจำเลย หากผู้ร้องจะมีหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับที่นาพิพาท จำเลยกับผู้ร้องก็ได้สมยอมทำขึ้นภายหลังโจทก์ฟ้องจำเลยโดยไม่มีค่าตอบแทนเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โจทก์นำยึดทรัพย์ เมื่อจำเลยแพ้คดี

ศาลชั้นต้นพิพากษายกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาคดีนี้แล้วเห็นว่ารูปคดีตามคำพยานโจทก์เชื่อได้ว่าจำเลยกับผู้ร้องได้สมรู้กันทำการโอนขายนาพิพาท 2 แปลงด้วยเจตนาลวงจึงตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 118 และ 133 โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะยึดนาพิพาท 2 แปลงมาขายทอดตลาดโดยไม่ต้องฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 329/2480 ระหว่างนายริก พิณเนียมโจทก์ นางเช้า เผือกพัน จำเลย นางไล้ อินศิริ ผู้ร้องขัดทรัพย์ ฉะนั้นฎีกาของผู้ร้องจึงฟังไม่ขึ้นศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีผู้ร้องชอบแล้ว จึงพิพากษายืน

Share