คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7279/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องรับโอนที่พิพาทโดยเข้าครอบครองทำประโยชน์และรับโอนทางทะเบียนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)ซึ่งออกทับที่พิพาทซ้ำกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับที่โจทก์รับจำนองและยึดถือไว้ โดยโจทก์ไม่ทราบมาก่อน จึงไม่มีทางที่โจทก์จะมีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้ร้องล่วงหน้าก่อนบังคับจำนองได้ การที่ผู้ร้องรับโอนที่พิพาทมาในลักษณะดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นผู้รับโอนทรัพย์ซึ่งจำนองตามความมุ่งหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735 โจทก์จึงไม่ต้องบอกกล่าวแก่ผู้ร้องล่วงหน้าก่อนบังคับจำนอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องเรียกหนี้เงินกู้ยืมตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากจำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชีแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย โดยจำเลยทั้งสองผ่อนชำระหนี้เป็นรายเดือน แต่จำเลยทั้งสองผิดนัดไม่ชำระ โจทก์จึงขอหมายบังคับคดีนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก) พร้อมสิ่งปลูกสร้าง อ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยที่ 1ซึ่งจำนองไว้แก่โจทก์ เพื่อบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นของผู้ร้อง โดยผู้ร้องซื้อมาจากบุคคลภายนอกโดยสุจริต และโจทก์มิได้บอกกล่าวบังคับจำนองแก่ผู้ร้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธินำยึดขอให้ศาลสั่งปล่อยที่ดินพิพาท
โจทก์ให้การว่า จำเลยที่ 1 จำนองที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2524 จำเลยที่ 1 ไม่เคยนำที่ดินพิพาทไปขายให้แก่บุคคลใด ที่ดินพิพาทยังเป็นของจำเลยที่ 1แต่เพียงผู้เดียว ที่ดินของผู้ร้องเป็นคนละแปลงกับที่ดินพิพาทขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง (ที่ถูกเป็นยกคำร้อง)
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ปล่อยที่ดินพิพาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่า จำเลยที 1 ได้จดทะเบียนจำนองที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 3316ตำบลหนองกี่ อำเภอหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์จึงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยทั้งสองโดยมิได้บอกกล่าวไปยังผู้ร้องด้วย และศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทกับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 3665 คือที่ดินแปลงเดียวกัน
ปัญหาต่อไปมีว่า โจทก์บังคับจำนองโดยมิได้มีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้ร้อง ซึ่งเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งจำนองล่วงหน้าเดือนหนึ่งได้ หรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า ผู้ร้องมิใช่ผู้รับโอนโดยชอบ นายวิบูลย์และนายประสงค์ล้วนเป็นกรรมการบริษัทผู้ร้อง ได้โอนที่ให้ผู้ร้องโดยไม่สุจริต เป็นการฉ้อฉลโจทก์เพื่อนำเงินมาแบ่งปันกันนั้น โจทก์เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้แต่อย่างไรก็ดีผู้ร้องรับโอนที่พิพาทโดยเข้าครอบครองทำประโยชน์และรับโอนทางทะเบียนตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ซึ่งออกทับที่พิพาทซ้ำกับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับที่โจทก์รับจำนองและยึดถือไว้ โดยโจทก์ไม่ทราบมาก่อน จึงไม่มีทางที่โจทก์จะมีจดหมายบอกกล่าวแก่ผู้ร้องล่วงหน้าก่อนบังคับจำนองได้ การที่ผู้ร้องรับโอนที่พิพาทมาในลักษณะดังกล่าว ถือไม่ได้ว่าเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนองตามความมุ่งหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 735 โจทก์จึงไม่ต้องบอกกล่าวแก่ผู้ร้องล่วงหน้าก่อนบังคับจำนอง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share