คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7272/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ข้อความในคำฟ้องที่โจทก์พิมพ์ในช่องสำหรับระบุชื่อโจทก์ระบุว่า โจทก์โดย อ.บิดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องและเข้าใจได้ว่า อ.เป็นบิดาของโจทก์เป็นผู้ดำเนินคดีแทนและขณะฟ้องนั้นโจทก์เป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถ ส่วน อ. จะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ได้จริงหรือไม่ซึ่งโจทก์ไม่ได้กล่าวไว้นั้นเป็นเรื่องที่หากจำเลยมีข้อโต้แย้งก็ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ทำการสอบสวนถึงอำนาจของ อ.ซึ่งเป็นข้อที่สามารถจะนำมาแสดงต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 66 ไม่ใช่เหตุที่ทำให้คำฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยมาตรา 172 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2534 จำเลยที่ 1ชกต่อยบริเวณใบหน้าและกัดใบหูขวาของโจทก์จนขาด เป็นเหตุให้โจทก์เสียโฉมอย่างติดตัว ต่อมาจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาจำเลยที่ 1 ทำบันทึกยอมชำระค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด โจทก์ได้เข้ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเปาโลเมโมเรียล จำเลยที่ 2 ชำระค่ารักษาพยาบาลให้เพียง 50,000 บาท ยังขาดอยู่อีก 359,080 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 359,080 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เป็นผู้เยาว์ไม่สามารถฟ้องคดีได้ นายอำนวย รุ่งเรือง มิได้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์ เพราะมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาโจทก์นายอำนวยจึงไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมที่จะฟ้องคดีแทนโจทก์ได้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้บรรยายฟ้องว่านายอำนวยมีฐานะและความเกี่ยวพันอย่างไรกับโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน159,080 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์เพียงแต่พิมพ์ข้อความในคำฟ้องในช่องสำหรับระบุชื่อโจทก์ว่านางสาวรัชฎาภรณ์ รุ่งเรือง โดยนายอำนวย รุ่งเรืองบิดาเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมเท่านั้น ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งว่า นายอำนวยเป็นบิดาโดยชอบธรรมอย่างไร มีหลักฐานแสดงฐานะความเกี่ยวพันกันอย่างไร จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง นั้น เห็นว่า ข้อความที่โจทก์พิมพ์ระบุไว้ในช่องสำหรับระบุชื่อโจทก์ดังกล่าวข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องและแสดงให้เข้าใจได้ว่า นายอำนวยเป็นบิดาของโจทก์เป็นผู้ดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ในฐานะที่นายอำนวยเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม และเป็นที่เข้าใจได้ว่าขณะฟ้องนั้นโจทก์เป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถนายอำนวยจึงดำเนินคดีแทนดังกล่าวส่วนข้อที่ว่านายอำนวยจะเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของโจทก์มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์ได้จริงหรือไม่ ซึ่งโจทก์ไม่ได้กล่าวในคำฟ้องนั้นเป็นเรื่องที่หากจำเลยทั้งสองมีข้อโต้แย้งประการใดก็ชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลทำการสอบสวนถึงอำนาจของนายอำนวยซึ่งเป็นข้อที่สามารถจะนำมาแสดงต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไปได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 66 ไม่ใช่เหตุที่ทำให้คำฟ้องของโจทก์ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share