คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7251/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ยื่นใบสมัครเข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดโดยมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามที่จำเลยกำหนด โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ตามโครงการดังกล่าว แต่จำเลยยอมรับใบสมัครของโจทก์ไว้แล้วพิจารณาอนุมัติให้โจทก์ลาออก โดยให้โจทก์ได้รับเฉพาะเงินประกันบำเหน็จและเงินเพิ่มพิเศษเท่านั้นส่วนเงินบำเหน็จพิเศษไม่อนุมัติให้ จ่าย ตามที่โจทก์ขอ และเมื่อโจทก์ขอให้จำเลยพิจารณาคำขอของโจทก์อีกครั้งจำเลยยังคงยืนยันไม่จ่ายเงินส่วนนี้ซึ่งโจทก์ก็มิได้แสดงเจตนาว่าจะไม่ลาออกแต่กลับรับเงินส่วนที่จำเลยอนุมัติให้จ่ายไปเรียบร้อยแล้วโดยมิได้โต้แย้งสงวนสิทธิใด ๆ ไว้ ถือว่าโจทก์ยังคงตกลงลาออกตามเจตนาเดิมที่แสดงไว้ในใบสมัครและสนองรับข้อเสนอดังกล่าวของจำเลย โดย ไม่ ขอรับเงินบำเหน็จพิเศษตามที่ระบุขอไว้ในใบสมัครอีกต่อไป การที่ จำเลยรับใบสมัครที่มีคำขอให้จ่ายเงินบำเหน็จพิเศษแก่โจทก์ เช่นเดียวกับผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเป็นการรับไว้พิจารณาเท่านั้น หาใช่จำเลยยอมรับข้อเสนอของโจทก์และตกลงจ่ายเงินตามที่โจทก์ขอแล้วไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2531 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการฝ่าย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 37,984 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 25 ของเดือนต่อมาจำเลยมีโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดโดยมีเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับตามเอกสารท้ายฟ้องวันที่ 30 มิถุนายน 2541โจทก์ยื่นใบสมัครตามโครงการดังกล่าวโดยมีอายุงานไม่ครบตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ โจทก์จึงระบุเงื่อนไขเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับในใบสมัครว่าขอให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนดทุกประการแม้อายุงานในธนาคารยังไม่ครบ 15 ปี จำเลยแจ้งโจทก์ให้ทราบด้วยวาจาว่าจำเลยอนุมัติแล้วสิทธิประโยชน์ที่จะได้รับตามที่ระบุไว้ในใบสมัคร โจทก์จึงมีสิทธิได้รับผลประโยชน์ตามเงื่อนไขของจำเลยกล่าวคือ โจทก์มีอายุงาน10 ปี 1.5 เดือน มีสิทธิได้รับเงินประกันบำเหน็จเงินเพิ่มพิเศษ เงินบำเหน็จพิเศษ โจทก์ได้รับเงินประกันบำเหน็จและเงินเพิ่มพิเศษแล้วแต่จำเลยไม่ยอมจ่ายเงินบำเหน็จพิเศษตามเงื่อนไขเป็นเงิน 189,920 บาทโจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายเงินบำเหน็จพิเศษตามโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดจำนวน 189,920 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่16 พฤษภาคม 2531 ค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 38,510 บาท เมื่อปี2541 จำเลยจัดให้มีโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด ตามเอกสารหมายจ.1 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2541 โจทก์ยื่นใบสมัครเข้าโครงการดังกล่าวตามเอกสารหมาย จ.2 แต่เนื่องจากโจทก์มีอายุงานยังไม่ครบ 15 ปีตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จึงได้ทำคำเสนอขอให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่จำเลยกำหนดไว้สำหรับพนักงานที่มีอายุงานครบ 15 ปีขึ้นไปจำเลยอนุมัติให้โจทก์ลาออกตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2541 โดยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าจ่ายเฉพาะเงินประกันบำเหน็จและเงินเพิ่มพิเศษ แต่ไม่จ่ายเงินบำเหน็จพิเศษเท่ากับจำเลยบอกปัดคำเสนอของโจทก์และเป็นการทำคำเสนอขึ้นใหม่ด้วยในตัวโจทก์มิได้โต้แย้งสงวนสิทธิที่จะไม่ลาออกหากไม่ได้รับเงินบำเหน็จพิเศษ และได้รับเงินที่จำเลยพิจารณาจ่ายให้ตามเอกสารหมาย จ.4 ไปแล้ว ถือได้ว่าโจทก์แสดงเจตนาสนองรับคำเสนอใหม่ของจำเลยยอมรับเงินตามที่จำเลยเสนอเป็นการตอบแทนในการเลิกจ้าง โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จพิเศษ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า กรณีที่โจทก์รับเงินประกันบำเหน็จและเงินเพิ่มพิเศษจากจำเลย มิใช่การแสดงเจตนารับคำเสนอใหม่ของจำเลย จำเลยจึงต้องจ่ายเงินบำเหน็จพิเศษที่เกิดขึ้นตามสัญญาต่างตอบแทนตั้งแต่ต้นให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า การที่โจทก์ยื่นใบสมัครเข้าโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดโดยไม่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่จำเลยกำหนด โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิยื่นใบสมัครและไม่มีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์ตามโครงการดังกล่าว แต่จำเลยยังยอมรับใบสมัครของโจทก์ไว้แล้วพิจารณาอนุมัติให้โจทก์ลาออก โดยให้โจทก์ได้รับเฉพาะเงินประกันบำเหน็จและเงินเพิ่มพิเศษเท่านั้น ส่วนเงินบำเหน็จพิเศษไม่อนุมัติให้จ่ายตามที่โจทก์ขอ และเมื่อโจทก์ขอให้จำเลยพิจารณาคำขอของโจทก์อีกครั้งจำเลยยังคงยืนยันไม่จ่ายเงินส่วนนี้ซึ่งโจทก์ก็มิได้แสดงเจตนาว่าจะไม่ลาออก แต่กลับรับเงินส่วนที่จำเลยอนุมัติให้จ่ายไปเรียบร้อยแล้ว โดยมิได้โต้แย้งสงวนสิทธิใด ๆ ไว้ถือว่าโจทก์ยังคงตกลงลาออกตามเจตนาเดิมที่แสดงไว้ในใบสมัครเอกสารหมาย จ.2 และสนองรับข้อเสนอดังกล่าวของจำเลย โดยไม่ขอรับเงินบำเหน็จพิเศษตามที่ระบุขอไว้ในใบสมัครอีกต่อไป ส่วนที่จำเลยรับใบสมัครเอกสารหมาย จ.2 ที่มีคำขอให้จ่ายเงินบำเหน็จพิเศษแก่โจทก์เช่นเดียวกับผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนนั้นเป็นเพียงการรับใบสมัครของโจทก์ไว้ และจะพิจารณาคำขอของโจทก์ในโอกาสต่อไปเท่านั้น หาใช่จำเลยยอมรับข้อเสนอของโจทก์และตกลงจ่ายเงินตามที่โจทก์ขอแล้วไม่

พิพากษายืน

Share