คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2226/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยต้องชำระค่าปรับตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์ โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยนำมาชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ โดยจำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2535 อันเป็นการกระทำฝ่ายเดียว ถือไม่ได้ว่าเป็นนิติกรรมกำหนดการนับระยะเวลาเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/1 จึงต้องนับตามมาตรา 193/3 วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับหนังสือตั้งแต่เวลาใด จึงถือไม่ได้ว่าได้เริ่มการอะไรในวันนั้นตั้งแต่เวลาอันเป็นกำหนดเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณีต้องห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวณเข้าด้วย ต้องเริ่มนับ 1 ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 1 ธันวาคม 2535 ตามมาตรา 193/3 วรรคสาม และครบกำหนด 15 วันในวันที่ 15 ธันวาคม 2535 เมื่อจำเลยไม่ชำระจึงตกเป็นผู้ผิดนัดโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 224 ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 450,485.49 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 359,856 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเงินให้แก่โจทก์ครบถ้วน

โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2535 โจทก์และจำเลยทำสัญญาซื้อขายเครื่องตัดหญ้าแบบล้อจักรยาน จำนวน 26 เครื่อง ราคาเครื่องละ 7,000 บาท รวมเป็นเงิน 182,000 บาท และเครื่องสูบน้ำเครื่องยนต์เบนซินจำนวน 100 เครื่อง ราคาเครื่องละ 7,000 บาท รวมเป็นเงิน 700,000 บาท ตามสัญญาซื้อขายเลขที่ 009/2535 และ 010/2535 เอกสารหมาย จ.4 และ จ.5 ตามลำดับ ทั้งนี้โดยตกลงกันว่าจำเลยจะต้องส่งมอบเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำดังกล่าวให้แก่โจทก์ ณ สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดมหาสารคาม เพื่อให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุว่าถูกต้องก่อนแล้วจำเลยจะต้องจัดส่งเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำดังกล่าวไปยังสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอและกิ่งอำเภอที่ได้รับจัดสรรตามบัญชีรายละเอียดท้ายสัญญาภายในวันที่ 5 เมษายน 2535 โดยในการทำสัญญาดังกล่าวจำเลยได้นำหนังสือค้ำประกันของธนาคารทหารไทย จำกัด จำนวน 9,100 บาท และ 35,000 บาทตามลำดับมามอบไว้แก่โจทก์เพื่อเป็นการประกันการปฏิบัติตามสัญญา 2 ฉบับ นั้น และได้ตกลงว่าเมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแล้วหากจำเลยไม่ส่งมอบหรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวน โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยจำเลยยอมให้โจทก์ริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันเป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแล้วแต่โจทก์จะเห็นสมควร หากโจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา จำเลยยอมให้โจทก์ปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.20 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่จำเลยได้นำสิ่งของไปส่งให้แก่โจทก์จนถูกต้องครบถ้วนและในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ โจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันหรือเรียกร้องจากธนาคารผู้ออกหนังสือค้ำประกันกับเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นตามกำหนดในสัญญานอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ ต่อมาเมื่อถึงวันที่ 5 เมษายน 2535 แล้วจำเลยไม่ส่งมอบเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำให้แก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 7 เมษายน 2535 เอกสารหมาย จ.6 และ จ.7แจ้งสงวนสิทธิที่จะเรียกร้องค่าปรับในขณะที่ยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาทั้ง 2 ฉบับ นั้นไปยังจำเลย จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว ต่อมาโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 12 มิถุนายน2535 เอกสารหมาย จ.9 แจ้งให้จำเลยตอบรับว่าจะจัดส่งมอบพัสดุตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์หรือไม่หากจะส่งมอบให้กำหนดวันส่งมอบและตอบรับเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 3 วัน นับแต่วันถัดจากวันที่ได้รับหนังสือนั้น จำเลยมีหนังสือลงวันที่ 23 กรกฎาคม2535 เอกสารหมาย จ.10 และ จ.11 แจ้งโจทก์ว่าจำเลยยังไม่มีเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำจำเลยรับรองว่าหากมีเครื่องตัดหญ้าและเครื่องสูบน้ำจะรีบจัดส่งให้โจทก์โดยด่วนและจำเลยยินดีให้ปรับตามสัญญา โจทก์มีหนังสือลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2535เอกสารหมาย จ.12 สอบถามจำเลยอีกครั้งหนึ่งว่า จะส่งมอบพัสดุตามสัญญาให้แก่โจทก์หรือไม่ หากจะส่งมอบให้กำหนดวันส่งมอบและตอบรับเป็นลายลักษณ์อักษรโดยด่วนจำเลยได้รับหนังสือนั้นแล้ว แต่เพิกเฉยต่อมาโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 24 กันยายน 2535เอกสารหมาย จ.14 แจ้งให้จำเลยจัดส่งเครื่องสูบน้ำและเครื่องตัดหญ้าตามสัญญาทั้ง2 ฉบับ ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2535 จำเลยได้รับหนังสือแล้ว แต่เพิกเฉยโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 26 ตุลาคม 2535 เอกสารหมาย จ.16 บอกเลิกสัญญาซื้อขายทั้ง 2 ฉบับ แก่จำเลย จำเลยได้รับหนังสือนั้นแล้วตามใบตอบรับของการสื่อสารแห่งประเทศไทยเอกสารหมาย จ.17 หลังจากนั้นโจทก์ได้เรียกร้องให้ธนาคารทหารไทย จำกัดชดใช้เงินตามหนังสือค้ำประกันสัญญาซื้อขายทั้ง 2 ฉบับ เป็นเงินรวม 44,100 บาท ให้แก่โจทก์ธนาคารทหารไทย จำกัด ได้ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้วโจทก์มีหนังสือลงวันที่ 26 พฤศจิกายน 2535 เอกสารหมาย จ.18 แจ้งให้จำเลยนำเงินค่าปรับตามสัญญาซื้อขายเครื่องตัดหญ้าวันละ 364 บาท นับตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2535 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม 2535 รวม 204 วัน เป็นเงิน 74,256 บาท และเงินค่าปรับตามสัญญาซื้อขายเครื่องสูบน้ำวันละ 1,400 บาท นับแต่วันที่ 6 เมษายน 2535 ถึงวันที่ 26 ตุลาคม2535 จำนวน 204 วัน เป็นเงิน 285,600 บาท รวมเป็นเงินค่าปรับ 359,856 บาท มาชำระให้โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือนั้น จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าว เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2535 ตามใบตอบรับของการสื่อสารแห่งประเทศไทย เอกสารหมายจ.19 แต่จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระค่าปรับให้แก่โจทก์

คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยเพียงข้อเดียวตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า จำเลยต้องชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินค่าปรับจำนวน 359,856 บาท นับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไป มิใช่นับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไปหรือไม่ ในปัญหานี้ ที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีหนังสือเอกสารหมาย จ.18 แจ้งให้จำเลยชำระค่าปรับภายใน 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือ เป็นการทำนิติกรรมกำหนดการนับระยะเวลาเป็นอย่างอื่น ต่างไปจากที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสองบัญญัติไว้ โดยกำหนดให้นับวันที่รับหนังสือเป็นวันแรกแห่งระยะเวลา เมื่อจำเลยได้รับหนังสือเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2535 จึงต้องนับวันที่ 30 พฤศจิกายน 2535 เป็นวันที่ 1 จำเลยต้องชำระค่าปรับภายในวันที่ 14 ธันวาคม 2535 เมื่อจำเลยไม่ชำระค่าปรับตามระยะเวลาดังกล่าว จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดและต้องชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดนับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2535 แต่เนื่องจากเป็นการกำหนดระยะเวลาเป็นวัน เดือนและปีซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสอง มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วย จึงต้องนับวันที่ 15 ธันวาคม 2535 เป็นวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลา การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงินค่าปรับจำนวน 359,856 บาท นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2535 ทำให้เงินค่าดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิที่จะได้รับขาดไป 1 วัน เป็นเงิน 73.94 บาท นั้น เห็นว่า แม้คดีฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยต้องรับผิดชำระเงินค่าปรับจำนวน359,856 บาท ให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้มีหนังสือเอกสารหมาย จ.18 แจ้งให้จำเลยนำเงินค่าปรับจำนวนดังกล่าวมาชำระให้แก่โจทก์ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือนั้นโดยจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2535 ตามใบตอบรับของการสื่อสารแห่งประเทศไทย เอกสารหมาย จ.19 ก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าการที่โจทก์แจ้งจำเลยเช่นนั้นแต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นนิติกรรมกำหนดการนับระยะเวลาเป็นอย่างอื่นตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/1 การนับระยะเวลา 15 วัน ในกรณีนี้จึงต้องนับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสอง ซึ่งห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับหนังสือเอกสารหมาย จ.18 ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2535 ตั้งแต่เวลาใด จึงถือไม่ได้ว่าได้เริ่มการอะไรในวันนั้นตั้งแต่เวลาอันเป็นกำหนดเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี ต้องห้ามมิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมคำนวณเข้าด้วย การนับระยะเวลา 15 วัน ตามหนังสือดังกล่าวจึงต้องเริ่มนับ 1 ในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 1 ธันวาคม 2535 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/3 วรรคสอง และครบกำหนด 15 วันในวันที่ 15 ธันวาคม 2535 จำเลยจึงต้องชำระเงินค่าปรับให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2535 เมื่อจำเลยไม่ชำระเงินค่าปรับให้แก่โจทก์ภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าวจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดซึ่งโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ตามมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ 16ธันวาคม 2535 เป็นต้นไป ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวนับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2535 เป็นต้นไปนั้น ชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share