คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7254/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่ได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ แต่เมื่อพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้เพราะเจ้าพนักงานบังคับคดียังมิได้ขายทอดตลาดทรัพย์ คู่ความย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ทั้งข้ออ้างของโจทก์เป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่จะต้องพิจารณาเอาความจริงว่า จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้
จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน เป็นหนี้โจทก์ แม้จำเลยที่ 2 จะนำสืบว่าจำเลยที่ 2 มีเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งรวมกันเดือนละ 25,000 บาท แต่เมื่อลำพังแต่เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งดังกล่าวยังไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมด ทั้งโจทก์ไม่สามารถยึดเงินเดือนมาชำระหนี้ได้ และนอกจากจำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์ในคดีนี้แล้วจำเลยที่ 2 ยังเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุดอีก 2 คดี เป็นเงินรวมกันประมาณ1,000,000 บาท ซึ่งแม้จำเลยที่ 2 จะได้นำเงินไปวางศาลเพื่อชำระหนี้โจทก์แล้วคดีหนึ่งแล้ว แต่จำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมดและหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน ร่วมกันชำระหนี้ต่อโจทก์แม้โจทก์ยังมิได้นำยึดทรัพย์ของพวกจำเลยทั้งสองดังกล่าว แต่เมื่อหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนและหนี้นั้นถึงกำหนดชำระแล้วโจทก์จึงนำมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายได้ แม้การพิจารณาว่าลูกหนี้ร่วมคนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน ไม่เกี่ยวกับลูกหนี้ร่วมคนอื่นก็ตาม แต่เมื่อข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ และคดีฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมด เมื่อไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย จึงชอบที่ศาลจะมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดด้วยกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ยังไม่ได้นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 19381/2530 ของศาลชั้นต้น จึงไม่ทราบจำนวนหนี้ที่แน่นอนเหลือเท่าใด หนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเป็นหนี้ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า หนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 19381/2530ของศาลชั้นต้นเป็นหนี้ร่วม โจทก์ต้องบังคับเอาจากจำเลยทั้งห้าในคดีดังกล่าว โดยบังคับเอาจากจำเลยคนใดคนหนึ่งได้โดยสิ้นเชิง แต่ตามคำฟ้องไม่ปรากฏว่า โจทก์บังคับเอาจากจำเลยอื่นในคดีดังกล่าวอีก 3 คน ซึ่งมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้ตามคำพิพากษาโจทก์สามารถได้รับชำระหนี้เต็มจำนวน ราคาทรัพย์ที่โจทก์นำยึดนั้นเป็นเพียงราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดี ถ้าขายทอดตลาดจะได้ราคามากกว่าอีกครึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 มีตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ มีรายได้ประจำจากเงินเดือนที่แน่นอน สามารถชำระหนี้โจทก์ได้ จึงไม่เข้าข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ให้จำเลยที่ 1 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2

โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน ร่วมกันชำระเงิน 2,687,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมแก่โจทก์เมื่อคิดถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน เป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 4,124,995.30บาท

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมดหรือไม่ เห็นว่า กระบวนพิจารณาคดีล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่ได้เป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดียังมิได้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยทั้งสอง โจทก์ย่อมมีสิทธิยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ทั้งข้ออ้างของโจทก์เป็นประเด็นข้อสำคัญในคดีที่จะต้องพิจารณาเอาความจริงว่า จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ และฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน ยังคงเป็นหนี้โจทก์ตามฎีกาของโจทก์และเอกสารท้ายฎีกา แม้จำเลยที่ 2 จะนำสืบว่าจำเลยที่ 2 มีเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งรวมกันเดือนละ 25,000 บาท แต่ลำพังเมื่อเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งดังกล่าวยังไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมด ทั้งโจทก์ไม่สามารถยึดเงินเดือนมาชำระหนี้ได้ นอกจากจำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์ในคดีนี้แล้ว จำเลยที่ 2 ยังเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุดอีก 2 คดี เป็นเงินรวมกันประมาณ 1,000,000 บาท แม้จำเลยที่ 2 จะได้นำเงินไปวางศาลเพื่อชำระหนี้โจทก์แล้วคดีหนึ่ง แต่จำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมด ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาโต้แย้งว่า หนี้ที่จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดเป็นหนี้ร่วมโจทก์ยังไม่ได้ยึดทรัพย์ของลูกหนี้ร่วมคนอื่นและยังมิได้ขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยทั้งสองหนี้ที่โจทก์ฟ้องจึงไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนนั้น เห็นว่า หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุด ให้จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน ร่วมกันชำระหนี้ต่อโจทก์แม้โจทก์ยังมิได้นำยึดทรัพย์ของพวกจำเลยทั้งสองดังกล่าวก็เป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนและหนี้นั้นถึงกำหนดชำระแล้ว อันโจทก์นำมาฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายได้ และหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมการพิจารณาว่า ลูกหนี้ร่วมคนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้หรือไม่นั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน ไม่เกี่ยวกับลูกหนี้ร่วมคนอื่น เมื่อข้อนำสืบของจำเลยทั้งสองไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายดังกล่าว คดีฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองมีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่อาจชำระหนี้โจทก์ได้ทั้งหมด ทั้งไม่มีเหตุที่ไม่ควรให้จำเลยทั้งสองล้มละลาย ที่ศาลล่างทั้งสองยกฟ้องจำเลยที่ 2 โดยให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 1 เด็ดขาดเพียงคนเดียวนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share