คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7237/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องอ้างตามคำร้องว่า ช. หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกควบคุมตัว พ. ไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย เมื่อไต่สวนพยานผู้ร้องเสร็จสิ้นแล้วศาลชั้นต้นต้องพิจารณาคำร้องของผู้ร้องและพยานที่ผู้ร้องนำเข้าไต่สวนก่อนว่าคดีของผู้ร้องมีมูลหรือไม่หากเห็นว่ามีมูลจึงหมายเรียก ช. และบุคคลที่เกี่ยวข้องตามคำร้องให้นำตัว พ. มาศาล การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อให้ข้อเท็จจริงกระจ่างขึ้น จึงให้หมายเรียก ช. กับพวก ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ ช. อันอาจถือว่าเป็นบุคคลที่ผู้ร้องอ้างว่าเกี่ยวข้องในการควบคุม พ. มาไต่สวนเพิ่มเติม จึงไม่เป็นไปตามขั้นตอน ที่ ป.วิ.อ. มาตรา 90 บัญญัติไว้ การดำเนินการไต่สวน ช. กับพวกดังกล่าวจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากนางสาวพิณนภา ผู้ร้อง ยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องอยู่กินฉันสามีภริยากับนายพอละจีหรือบิลลี่ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 นายชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกจับกุมและควบคุมตัวนายพอละจี พร้อมยึดรถจักรยานยนต์และน้ำผึ้งเป็นของกลาง แต่นายชัยวัฒน์ไม่ได้นำตัวนายพอละจีไปดำเนินคดี จนกระทั่งปัจจุบันไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือสามารถติดต่อนายพอละจีได้ เชื่อว่านายพอละจียังอยู่ในความควบคุมของนายชัยวัฒน์ อันเป็นการควบคุมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 32 วรรคห้า และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 ขอให้มีคำสั่งปล่อยนายพอละจีหรือบิลลี่ และให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเยียวยาความเสียหายตามที่ศาลเห็นสมควร
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นว่า เมื่อผู้ร้องนำพยานเข้าไต่สวนในวันที่ 24 เมษายน 2557 รวม 2 ปาก แล้วผู้ร้องแถลงติดใจไต่สวนพยานผู้ร้องเพียงเท่านี้ ศาลชั้นต้นต้องพิจารณาคำร้องของผู้ร้องและพยานที่ผู้ร้องนำเข้าไต่สวนก่อนว่าคดีของผู้ร้องมีมูลหรือไม่ หากเห็นว่าคำร้องของผู้ร้องมีมูลจึงหมายเรียกนายชัยวัฒน์และนายเกษมกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งตามคำร้องและทางไต่สวนของผู้ร้องอ้างว่าเป็นผู้คุมขังนายพอละจี ให้นำตัวนายพอละจีผู้ถูกคุมขังมาศาล และให้นายชัยวัฒน์กับพวกดังกล่าวแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าการคุมขังเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ศาลชั้นต้นกลับหมายเรียก นายชัยวัฒน์และนายเกษมมาไต่สวน นอกจากนี้ยังอนุญาตให้ผู้ร้องนำนายไพฑูรย์ นายบุญแทน และ นายกฤษณพงษ์ ซึ่งล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของนายชัยวัฒน์ และร่วมอยู่ในเหตุการณ์เดียวกัน อันอาจถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ผู้ร้องอ้างว่าเกี่ยวข้องในการควบคุมตัวนายพอละจีเข้าไต่สวนอีก การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 กำหนดไว้ ดังนี้ การดำเนินการไต่สวนนายชัยวัฒน์กับพวกดังกล่าว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่อาจนำคำเบิกความของพยานดังกล่าวมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีนี้ได้ แต่เมื่อผู้ร้องนำพยานเข้าไต่สวนเสร็จสิ้นแล้ว ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยว่าคำร้องของผู้ร้องมีมูลหรือไม่ โดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณามีคำสั่งอีก เห็นว่า ผู้ร้องมีตัวผู้ร้องเบิกความว่า เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2557 นายพอละจีออกจากบ้านไปโดยแจ้งผู้ร้องว่าจะไปเยี่ยมมารดาซึ่งอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านโป่งลึก ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จนกระทั่งวันที่ 17 เมษายน 2557 พี่ชายนายพอละจีโทรศัพท์มาสอบถามผู้ร้องว่านายพอละจีกลับบ้านแล้วหรือยัง ผู้ร้องตอบว่ายัง วันที่ 18 เมษายน 2557 ผู้ร้องจึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อติดตามหาตัวนายพอละจี ในวันเดียวกันผู้ร้องได้รับแจ้งจากนายกระทง ผู้ใหญ่บ้านท้องที่ที่นายพอละจีพักอาศัยว่า นายพอละจีถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติควบคุมตัวไป นายกระทงเดินทางไปสถานีตำรวจเพื่อขอประกันตัวนายพอละจีแต่ไม่พบ และนายกระทงเบิกความว่า เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 เวลาประมาณ 16 นาฬิกา พยานได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายนายพอละจีแจ้งว่านายพอละจีถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมเพื่อดำเนินคดีและขอร้องให้พยานไปประกันตัวนายพอละจีที่สถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน วันที่ 18 เมษายน 2557 พยานโทรศัพท์ไปยังเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน เพื่อสอบถามถึงนายพอละจี เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่าไม่มีตัวนายพอละจีที่สถานีตำรวจ ต่อมาตอนบ่ายพยานเดินทางไปสถานีตำรวจดังกล่าวเพื่อสอบถามเรื่องนายพอละจี เจ้าพนักงานตำรวจบอกว่านายพอละจียังไม่ได้มาที่สถานีตำรวจ ครั้นเวลาประมาณ 20 นาฬิกา พยานไปสถานีตำรวจอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบตัวนายพอละจี หลังจากนั้นพยานโทรศัพท์ติดต่อนายพอละจี แต่ไม่มีคนรับสาย เห็นว่า ผู้ร้องอ้างตามคำร้องว่านายชัยวัฒน์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวกควบคุมตัวนายพอละจีไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย แต่พยานผู้ร้องทั้งสองปากไม่ได้รู้เห็นว่านายชัยวัฒน์กับพวกควบคุมตัวนายพอละจีไว้หรือไม่ ผู้ร้องได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจากนายกระทง ส่วนนายกระทงได้รับการบอกเล่ามาจากพี่ชายนายพอละจี ดังนี้ คำเบิกความของพยานผู้ร้องทั้งสองปากจึงเป็นพยานบอกเล่า ไม่อาจรับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง ส่วนนายแพทย์นิรันดร์ ที่ ผู้ร้องนำเข้าไต่สวนเป็นพยานเพิ่มเติมนั้นก็เป็นเพียงพยานแวดล้อม กรณีข้อพิพาทระหว่างเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกับชุมชนกะเหรี่ยง ในฐานะที่พยานเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และได้รับการร้องเรียนว่ามีการละเมิดสิทธิชุมชนกะเหรี่ยง โดยพยานเองมิได้รู้เห็นเรื่องการหายตัวไปของนายพอละจีแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่านายชัยวัฒน์กับพวกควบคุมตัวนายพอละจี ไว้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย คำร้องของผู้ร้องจึงไม่มีมูล ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน

Share