คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7235/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกงบประมาณและการเงินระดับ 8 มีอำนาจในการตัดค่าจ้างหรือลดค่าจ้างแก่พนักงานหรือลูกจ้างซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของโจทก์ตามระเบียบและข้อบังคับของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีฐานะเป็นฝ่ายบริหารของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543และเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกและกรรมการของสหภาพแรงงาน ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 มาตรา 51 วรรคสอง และมาตรา 56 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นรัฐวิสาหกิจ จัดตั้งตามพระราชบัญญัติการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2519 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าการสื่อสารแห่งประเทศไทย และจำเลยที่ 3 เป็นหน่วยงานของรัฐ ส่วนโจทก์เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทย ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกงบประมาณและการเงิน สังกัดสำนักงานการสื่อสารไปรษณีย์เขต 5 จังหวัดเชียงใหม่ ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2544 นอกจากนี้โจทก์ยังเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทยเลขที่ 2352 และกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทย ต่อมาประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทยมีหนังสือขออนุมัติต่อจำเลยที่ 1 ให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทยเดินทางไปเข้าร่วมประชุมกับประธานกรรมการการสื่อสารแห่งประเทศไทย เพื่อรับทราบนโยบายและการดำเนินงานการขยายโครงการ CDMA ในส่วนภูมิภาคในวันศุกร์ที่ 4 มกราคม 2545 ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น 3 การสื่อสารแห่งประเทศไทย หลักสี่ กรุงเทพมหานคร โดยถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่และให้กรรมการที่สังกัดในส่วนภูมิภาคมีสิทธิเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วยแต่จำเลยที่ 2 มีคำสั่งอนุญาตให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทยจำนวน 44 คน ตามรายชื่อที่แนบท้ายเข้าร่วมประชุมดังกล่าว โดยถือว่าเป็นการปฏิบัติงานให้กับการสื่อสารแห่งประเทศไทยยกเว้นกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทย ลำดับที่ 43, 44 และ 47 ซึ่งลำดับที่ 43 ก็คือโจทก์ เนื่องจากขาดคุณสมบัติในการเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานการสื่อสารแห่งประเทศไทย ตามข้อบังคับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 ข้อ 8 โดยถือตามคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 ว่า “ฝ่ายบริหาร” ของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 หมายถึงผู้ว่าการการสื่อสารแห่งประเทศไทย และลูกจ้างอื่นที่เป็น “ผู้บังคับบัญชา” ตามที่กำหนดไว้ในระเบียบการสื่อสารแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 325 ซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะว่าการที่โจทก์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกงบประมาณและการเงินดังกล่าวนั้น โจทก์ไม่มีอำนาจในการจ้าง การเลิกจ้าง ขึ้นค่าจ้าง ตัดค่าจ้างหรือลดค่าจ้างอย่างเด็ดขาดแต่ประการใด โจทก์ต้องรายงานตามลำดับชั้นจนถึงจำเลยที่ 2 โจทก์จึงมีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้อบังคับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 ข้อ 8 ไม่ได้ขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 และคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 ขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่สั่งว่าโจทก์ขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน (ตามเอกสารหมายเลข 5) และให้โจทก์กลับคืนสู่สภาพเดิม กับให้เพิกถอนคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 3 ด้วย

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 จำเลยที่ 2 มีคำสั่งที่ 02348/2544 เรื่อง เลื่อนและแต่งตั้งพนักงาน ซึ่งโจทก์ได้เลื่อนตำแหน่งจากตำแหน่งนายไปรษณีย์ (ระดับ 7) เป็นตำแหน่งหัวหน้าแผนกงบประมาณและการเงิน (ระดับ 8) ทำให้โจทก์มีฐานะเป็นฝ่ายบริหารเนื่องจากโจทก์เป็นลูกจ้างที่เป็นผู้บังคับบัญชาตามระเบียบการสื่อสารแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 325 พ.ศ. 2541 และข้อบังคับฉบับที่ 3 พ.ศ. 2520 โดยโจทก์มีอำนาจในการตัดค่าจ้างและลดค่าจ้างแล้วรายงานการดำเนินการทางวินัยผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงผู้ว่าการ จึงมีผลให้โจทก์พ้นจากการเป็นสมาชิกและกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทยในทันทีตามข้อบังคับสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 ข้อ 8 และ 15 และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 มาตรา 51 ดังนั้น จำเลยที่ 2 มีคำสั่งตามฟ้องของโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างพิจารณาโจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตจำหน่ายคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความ

ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์ขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทย เนื่องจากโจทก์ดำรงตำแหน่งฝ่ายบริหารของจำเลยที่ 1 หรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังยุติได้ว่า โจทก์เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดของจำเลยที่ 1 เดิมโจทก์ดำรงตำแหน่งนายไปรษณีย์ 7 แผนกพัฒนาบุคลากร สังกัดสำนักงานการสื่อสารไปรษณีย์ เขต 5 จังหวัดเชียงใหม่และโจทก์เป็นสมาชิกกรรมการสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการสื่อสารแห่งประเทศไทยด้วย ต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2543 โจทก์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกงบประมาณและการเงินระดับ 8 สังกัดเดิม เห็นว่า ตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 325 ว่าด้วยการกำหนดสายงาน กลุ่มงาน ตำแหน่ง ระดับ และคุณสมบัติเฉพาะตำแหน่งของพนักงานและลูกจ้างการสื่อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2541 ข้อ 5 และเอกสารหมายเลข 1 แนบท้ายได้ระบุให้ตำแหน่งหัวหน้าแผนกระดับ 8 อยู่ในลำดับที่ 1 สายงานบริหารและมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชา และข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 3 ว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนขั้นเงินเดือน การตัดเงินเดือน การลดขั้นเงินเดือน การถอดถอน ระเบียบวินัย การลงโทษและการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้างตลอดจนการกำหนดจำนวนอัตราตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ. 2520 หมวด 7 ในเรื่องโทษผิดวินัยและการลงโทษข้อ 69 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า “พนักงานและลูกจ้างผู้ใดกระทำผิดวินัยที่ยังไม่ถึงขั้นเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน ตัดค่าจ้าง หรือลดขั้นเงินเดือน หรือลดค่าจ้างตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่สำหรับการลงโทษภาคทัณฑ์ให้ใช้เฉพาะกรณีกระทำผิดวินัยเล็กน้อยหรือมีเหตุอันควรลดหย่อน ซึ่งยังไม่ถึงกับจะต้องถูกลงโทษตัดเงินเดือนหรือตัดเงินค่าจ้าง” และแม้ว่าเมื่อผู้บังคับบัญชาได้ดำเนินการทางวินัยดังกล่าวผ่านผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นจนถึงผู้ว่าการตามที่กำหนดไว้ในข้อ 73 ก็ตาม ก็เป็นเพียงวิธีปฏิบัติเพื่อให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงขึ้นไปได้พิจารณาถึงความเหมาะสมของการลงโทษอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น หากผู้บังคับบัญชาชั้นสูงขึ้นไปเห็นว่าผู้บังคับบัญชาชั้นต้นสั่งการลงโทษทางวินัยอย่างเหมาะสมแล้วก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข อำนาจสั่งการลงโทษทางวินัยของผู้บังคับบัญชาชั้นต้นตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว มิใช่เป็นเพียงข้อเสนอแนะต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อพิจารณาลงโทษพนักงานหรือลูกจ้างแต่อย่างใด ฉะนั้น การที่โจทก์ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกงบประมาณและการเงิน ระดับ 8 จึงเป็นการดำรงตำแหน่งระดับผู้บังคับบัญชามีอำนาจในการตัดค่าจ้างหรือลดค่าจ้างแก่พนักงานหรือลูกจ้างซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของโจทก์ตามระเบียบของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 325 พ.ศ. 2541 และข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ฉบับที่ 3 ว่าด้วยการบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนขั้นเงินเดือนการตัดเงินเดือน และการลดขั้นเงินเดือน การถอดถอน ระเบียบวินัย การลงโทษและการอุทธรณ์การลงโทษของพนักงานและลูกจ้าง ตลอดจนการกำหนดจำนวนอัตราตำแหน่ง อัตราเงินเดือน ค่าจ้างของพนักงานและลูกจ้าง พ.ศ. 2520 ดังกล่าวข้างต้น โจทก์จึงมีฐานะเป็นฝ่ายบริหารของจำเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 และเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกและกรรมการของสหภาพแรงงาน ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 มาตรา 51 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ฝ่ายบริหารเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน” และมาตรา 56 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “กรรมการสหภาพแรงงานหรืออนุกรรมการสหภาพแรงงานตามมาตรา 55 ต้องเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานนั้น” คำพิพากษาของศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share