แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจังหวัดนครราชสีมาจำเลยที่ 18 และพิพากษาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายซึ่งหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ย่อมีผลทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์คืนมาคำขอในส่วนที่ขอให้พิพากษาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้มาด้วย แต่การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 ก็ต้องได้ความว่าหนองน้ำในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ไม่ใช่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ ดังนั้น คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเป็นคำขออันเป็นประธาน ถือได้ว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อราคาที่ดินและค่าเสียหายรวมกันไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
ค่าเสียหายปีต่อ ๆ ไปนับแต่วันฟ้องปีละ 20,000 บาท เป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากวันฟ้องไม่อาจนำมาคำนวณเป็นจำนวนทุนทรัพย์ได้
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับที่ดินสาธารณประโยชน์ พิพากษายืนให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์มิได้ออกทับที่สาธารณประโยชน์เป็นการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 เนื้อที่ 23 ไร่ โดยโจทก์ซื้อมาจากนายสี ศิริสมบัติเมื่อประมาณ 30 ปี มาแล้ว เมื่อเดือนสิงหาคม 2535 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 15 ร่วมกันชักนำราษฎรบ้าหนองจาน หมู่ที่ 9 แจ้งแก่เจ้าหน้าที่ว่ามีหนองน้ำสาธารณประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 16 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ จำเลยที่ 17 เป็นนายอำเภอ ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่มิชอบไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยละเอียดรอบคอบ วันที่ 15 มีนาคม 2536 จำเลยที่ 18 มีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ของโจทก์อ้างว่าออกทับที่ดินสาธารณประโยชน์ความจริงบริเวณที่อ้างว่าเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์นั้น เป็นหนองน้ำส่วนบุคคลในที่นาของโจทก์ซึ่งมีมาตั้งแต่มีการจับจองทำประโยชน์โดยนายสี ศิริสมบัติ การกระทำของจำเลยทั้งสิบแปดเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ เป็นเหตุให้โจทก์ไม่อาจเข้าทำหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินของโจทก์ได้ตามปกติทำให้โจทก์ขาดประโยชน์อันพึงมีพึงได้คิดเป็นเงินไม่ต่ำกว่าปีละ 20,000 บาท จำเลยทั้งสิบแปดต้องร่วมกันรับผิดชดใช้แก่โจทก์ ขอให้เพิกถอนคำสั่งจังหวัดนครราชสีมาที่ 914/2536 ลงวันที่ 15 มีนาคม 2536 โดยให้จำเลยที่ 18 แจ้งยกเลิกคำสั่งดังกล่าวภายใน 7 วัน นับแต่วันพิพากษาหากจำเลยที่ 18 ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 18 และพิพากษาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ตำบลช่องแมว อำเภอชุมพวง จังหวัดนครราชสีมา เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายและให้จำเลยทั้งสิบแปดร่วมกันใช้ค่าเสียหายในปี 2546แก่โจทก์เป็นเงิน 20,000 บาท และในปีต่อไปปีละ 20,000 บาท จนกว่าโจทก์จะได้เข้าทำประโยชน์ในบริเวณที่พิพาท
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 14 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 11 ที่ 12 ที่ 13 และที่ 15 ให้การรับว่าได้เข้าชื่อกับราษฎรหมู่บ้านหนองจานร้องเรียนว่า โจทก์บุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์ ต่อมาจังหวัดนครราชสีมาได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและได้มีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ของโจทก์
จำเลยที่ 17 ให้การว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ของโจทก์ออกเกินเนื้อที่ ส่วนที่ออกเกินออกทับลำห้วยน้อยและหนองแดง อันเป็นที่สาธารณประโยชน์สำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวจึงไม่ชอบผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาจึงมีอำนาจเพิกถอน หนองน้ำในที่นาโจทก์เป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองเป็นเจ้าของ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 16 และที่ 18 ให้การว่า การฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาที่ 914/2546 ที่สั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ของโจทก์มีผลทำให้โจทก์ได้หรือเสียสิทธิในที่ดินจึงถือเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อปรากฏว่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องไม่เกิน 50,000 บาท อำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีจึงอยู่ในอำนาจของศาลแขวงนครราชสีมา การที่โจทก์ฟ้องที่ศาลจังหวัดนครราชสีมาจึงไม่ถูกต้องหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 มีการออกเกินกว่าเนื้อที่ตามที่ปรากฏในหลักฐาน ส.ค. 1 เลขที่ 107 ที่ใช้เป็นหลักฐานในการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเนื้อที่ส่วนที่เกินได้ออกทับลำห้วยน้อยและหนองแดงสาธารณประโยชน์ อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาจึงมีอำนาจตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2528 ที่จะสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ได้ การกระทำของจำเลยที่ 16 ที่ 17 และที่ 18 เป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย หนองน้ำที่โจทก์อ้างว่าเป็นหนองน้ำส่วนบุคคลอยู่ในที่นาของโจทก์นั้นเป็นหนองน้ำสาธารณประโยชน์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิครอบครอง จึงไม่อาจเรียกค่าขาดประโยชน์จากจำเลยได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ตำบลช่องแมว อำเภอชุมพวงจังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 23 ไร่ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 15 ร่วมกันร้องเรียนว่า มีหนองน้ำสาธารณประโยชน์อยู่ในที่ดินของโจทก์ จำเลยที่ 16 และที่ 17 เป็นเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอและนายอำเภอปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ละเอียด ต่อมาจำเลยที่ 18 ได้มีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181ของโจทก์ อ้างว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ออกทับหนองน้ำสาธารณประโยชน์และมีคำขอท้ายฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 และพิพากษาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องเป็นการกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ 18 มีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์เนื่องจากเป็นการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทับหนองน้ำสาธารณประโยชน์ คำสั่งของจำเลยที่ 18 มีผลทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181อีกต่อไป ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 และพิพากษาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายซึ่งหากศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี ย่อมมีผลทำให้โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์คืนมา คำขอของโจทก์ในส่วนที่ขอให้พิพากษาว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 เป็นเอกสารสิทธิที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แม้โจทก์จะมีคำขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 อันเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้มาด้วยก็ตาม แต่การที่ศาลจะเพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ 18 ก็ต้องได้ความว่าหนองน้ำในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ ไม่ใช่หนองน้ำสาธารณประโยชน์ ดังนั้น คำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้จึงเป็นคำขออันเป็นประธานถือได้ว่าคดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ แม้โจทก์จะมีคำบังคับให้จำเลยทั้งหมดร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ในปี 2536 เป็นเงิน 20,000 บาท และปีต่อ ๆ ไป ปีละ 20,000 บาท แต่ปรากฏว่า โจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2536 ยังไม่สิ้นสุดปี 2536 ดังนั้นค่าเสียหายของปี 2536 จึงคำนวณตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2536 ถึงวันที่ 17 กันยายน 2536 เป็นเวลา 260 วัน เป็นจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้องเท่ากับ 14,246.57 บาท ส่วนค่าเสียหายปีต่อ ๆ ไปปีละ 20,000 บาทเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหลังจากวันฟ้องไม่อาจนำมาคำนวณเป็นจำนวนทุนทรัพย์คดีนี้ได้จำนวนทุนทรัพย์คดีนี้จึงมีราคาเท่ากับที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 181 ของโจทก์ รวมกับค่าเสียหายจำนวน 14,246.57 บาท ดังกล่าว แต่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ปรากฏว่าศาลทั้งสองสั่งให้คู่ความตีราคาทุนทรัพย์ในที่ดินดังกล่าวของโจทก์แต่อย่างใด แต่อย่างไรก็ตามเอกสารหมาย ล.1มีหลักฐานที่โจทก์เคยยื่นคำขอให้นายอำเภอชุมพวงรับรองราคาประเมินที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 และนายอำเภอชุมพวงได้ตีราคาประเมินเพื่อใช้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไว้ เมื่อวันที่ 13พฤศจิกายน 2534 ในราคาไร่ละ 2,800 บาท คำนวณเป็นราคาที่ดินของโจทก์ในขณะนั้นได้ 64,400 บาท โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2536 ราคาประเมินของที่ดินดังกล่าวในระยะเวลาที่ล่วงเลยมาประมาณ 2 ปี สภาพที่ตั้งของที่พิพาทไม่มีข้อเท็จจริงที่แสดงให้เห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางเพิ่มขึ้นมากเกินปกติหากที่ดินดังกล่าวจะมีราคาเพิ่มขึ้น เชื่อได้ว่าจะไม่เพิ่มขึ้นกว่าปี 2534 เกินกว่า 2 เท่าแน่นอน นั้นคือ ราคาที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ขณะยื่นฟ้องมีราคาไม่เกิน 128,800 บาท รวมกับค่าเสียหาย 14,246.57 บาท รวมเป็นเงิน 143,046.57 บาทไม่เกินสองแสนบาท
คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่าหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่181 ของโจทก์ออกทับที่ดินสาธารณประโยชน์พิพากษายืนให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้ศาลฎีกาพิพากษากลับบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทดังที่วินิจฉัยข้างต้น ต้องห้ามคู่ความมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาว่า หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 181 ของโจทก์มิได้ออกทับที่สาธารณประโยชน์เป็นการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มาจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์