คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยนำ น.ส.3 ก. ที่ระบุชื่อ ส. และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของส. ซึ่งเลอะเลือนมองเห็นไม่ชัดเจนมาแสดงต่อผู้เสียหายเพื่อขอกู้ยืมเงิน ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยคือ ส. เจ้าของที่ดินตาม น.ส.3 ก. ที่แท้จริง จึงตกลงให้จำเลยกู้ยืมเงินไปนั้น เป็นความผิดฐานฉ้อโกงผู้อื่นโดยการแสดงตนเป็นคนอื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหลอกลวงนายวิโรจน์ สุวรรณมณี ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงตนเป็นนายสุบ ราชพิทักษ์ เจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1586 ตำบลเกาะนางคำ อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง อันเป็นเท็จ ความจริงจำเลยไม่ใช่นายสุบราชพิทักษ์ และไม่ใช่เจ้าของที่ดินดังกล่าว อันเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยเป็นนายสุบ ราชพิทักษ์ ที่แท้จริง และยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินไปจำนวน 300,000 บาท โดยการหลอกลวงของจำเลยดังกล่าวทำให้จำเลยได้รับเงิน 300,000 บาท ไปจากผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342 และให้จำเลยคืนเงิน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 342(1) จำคุก 2 ปี คำให้การในชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ให้จำเลยคืนเงิน 300,000 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่า วันเกิดเหตุจำเลยไปขอกู้ยืมเงินจำนวน 300,000 บาท จากผู้เสียหายโดยจำเลยนำสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้านและหนังสือประเมินราคาที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 มาเป็นหลักประกันในการกู้ยืมเงิน ผู้เสียหายตรวจสอบเอกสารแล้วได้สอบถามจำเลยว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นของใคร จำเลยบอกว่าเป็นของจำเลย ผู้เสียหายตรวจดูสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ระบุชื่อนายสุบ ราชพิทักษ์ จึงสอบถามเกี่ยวกับชื่อที่ระบุในหนังสือรับรองการทำประโยชน์จำเลยบอกว่าชื่อนายสุบเป็นชื่อของจำเลย ผู้เสียหายจึงตกลงให้จำเลยกู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าว และทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินไว้เป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.4 โดยจำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ว่า นายสุบราชพิทักษ์ ต่อมาผู้เสียหายทราบว่าจำเลยมิใช่นายสุบ แต่จำเลยชื่อนายสัญชัย ซึ่งตามทางนำสืบของจำเลยยอมรับว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินจากผู้เสียหายและลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารหมาย จ.4 จริง เห็นว่า ก่อนที่จำเลยจะทำสัญญากู้ยืมเงินจากผู้เสียหายในคดีนี้ จำเลยเคยกู้ยืมเงินจำนวน 100,000 บาท จากผู้เสียหายมาครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งผู้เสียหายเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่า จำเลยได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินว่านายสุบ แสดงให้เห็นว่าจำเลยเคยอ้างหรือแสดงต่อผู้เสียหายมาก่อนแล้วว่าจำเลยชื่อนายสุบ ราชพิทักษ์ โดยที่ผู้เสียหายไม่ทราบชื่อที่แท้จริงของจำเลยผู้เสียหายคงรู้จักแต่เพียงชื่อเล่นของจำเลยว่าชื่อนายโทงเท่านั้น จ่าสิบตำรวจชาญค้าธัญญเจริญ พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2540 เวลาประมาณ 9นาฬิกา ผู้เสียหายกับภริยาไปหาพยานที่บ้านแล้วชวนพยานไปที่บ้านผู้เสียหายเพื่อให้ช่วยเขียนสัญญากู้ยืมเงิน พยานตกลงและเมื่อไปถึงบ้านผู้เสียหาย พยานพบผู้เสียหายและจำเลย จากคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจชาญดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าหลังจากผู้เสียหายชวนจ่าสิบตำรวจชาญไปช่วยเขียนสัญญากู้ยืมเงินให้ผู้เสียหายแล้ว จ่าสิบตำรวจชาญมิได้เดินทางไปที่บ้านผู้เสียหายพร้อมกับผู้เสียหาย เมื่อจ่าสิบตำรวจชาญไปถึงจึงพบผู้เสียหายและจำเลยอยู่ที่บ้านผู้เสียหาย ที่จ่าสิบตำรวจชาญเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยว่าระหว่างพยานและผู้เสียหายเดินทางกลับมาที่บ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายบอกพยานว่านายโทงจะกู้ยืมเงินผู้เสียหาย โดยนำที่ดินซึ่งเป็น น.ส.3 ก. ของบิดานายโทงมาเป็นหลักประกัน จึงเป็นคำเบิกความที่ขัดกันเองเป็นพิรุธ ผู้เสียหายเบิกความยืนยันว่าผู้เสียหายไม่เคยรู้จักนายสุบบิดาของจำเลย และนายสุบไม่เคยกู้ยืมเงินจากผู้เสียหายข้อเท็จจริงจึงไม่อาจเป็นไปตามที่จ่าสิบตำรวจชาญเบิกความตอบคำถามโจทก์ถามติงว่าขณะเขียนสัญญากู้ยืมเงินผู้เสียหายบอกพยานว่า ใน น.ส.3 ก. ระบุชื่อนายสุบ โดยนายสุบเป็นบิดาของจำเลย การที่จ่าสิบตำรวจชาญเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลย และเบิกความตอบคำถามโจทก์ถามติงดังกล่าว น่าเชื่อว่าเป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือให้จำเลยหลุดพ้นจากความผิด เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ของจำเลยก่อนที่ผู้เสียหายตกลงให้จำเลยกู้ยืมเงินจำนวน 300,000 บาท ผู้เสียหายได้ตรวจดูเอกสารต่าง ๆ ที่จำเลยนำมาแสดง แล้วผู้เสียหายได้สอบถามจำเลย ซึ่งจำเลยได้ยืนยันว่าที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเป็นของจำเลย และชื่อสุบ ราชพิทักษ์ ที่ระบุในหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นชื่อของจำเลย กับจำเลยนำสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายสุบราชพิทักษ์ตามเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งมีความเลอะเลือนมองเห็นไม่ชัดเจนมาแสดง จึงทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าจำเลยคือนายสุบ ราชพิทักษ์ เจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารหมาย จ.1 ที่แท้จริง จึงตกลงยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินจำนวน300,000 บาท การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงผู้อื่นโดยการแสดงตนเป็นคนอื่นตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share