แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ปัญหาว่าโจทก์จะเป็นผู้ผลิตสินค้าหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญ เมื่อโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้ารูปและคำว่า WAXY ใช้กับสินค้าน้ำยาเคลือบเบาะหนังและจำเลยทั้งสองนำเครื่องหมายการค้ารูปและคำว่า WAXY ไปใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกันกับของโจทก์โดยไม่มีสิทธิ เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนได้
ส่วนความเสียหายของโจทก์ แม้ยอดขายสินค้าของโจทก์จะต่ำลง และหลังจากจำเลยทั้งสองถูกจับกุมยอดขายสินค้าของโจทก์จะเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองก็เป็นเพียงผู้รับสินค้ารายหนึ่งจากผู้ผลิตสินค้ามาจำหน่ายมิใช่ผู้ผลิตสินค้าที่ปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์ การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายสินค้าที่ปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดขายสินค้าของโจทก์ลดลงจำนวนมาก แต่ถือเป็นความเสียหายเพียงส่วนหนึ่งที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันแอบอ้างเสนอจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งน้ำยาเคมีใช้รักษาเบาะรถยนต์และเครื่องหนังที่มีตราเครื่องหมายการค้ารูปและคำว่าWAXY อันเป็นเครื่องหมายการค้าปลอมที่มีผู้ทำปลอมเครื่องหมายการค้าที่แท้จริงของโจทก์ โดยจำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าเป็นสินค้าที่มีการปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 5,000,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องเป็นการกำหนดขึ้นมาลอย ๆ โดยไม่มีหลักเกณฑ์ ลูกค้าซื้อสินค้ายี่ห้อ “แว๊กซี่” จากผู้ขายรายอื่นเพราะราคาถูกกว่ายอดขายที่ลดลงเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 400,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ได้เป็นผู้ผลิตสินค้าน้ำยาเคลือบเบาะหนัง โจทก์จึงมิใช่เจ้าของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์จะเป็นผู้ผลิตสินค้าน้ำยาเคลือบเบาะหนังหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้ารูปและคำว่า WAXY ใช้กับสินค้าน้ำยาเคลือบเบาะหนังจำเลยทั้งสองนำเครื่องหมายการค้ารูปและคำว่า WAXY ไปใช้กับสินค้าจำพวกเดียวกับของจำเลยทั้งสองโดยไม่มีสิทธิใด ๆ ตามกฎหมาย เป็นการละเมิดสิทธิในเครื่องหมายการค้าของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายใด ๆ ที่โจทก์ได้รับจากการกระทำของจำเลยทั้งสองได้ อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามอุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งสองว่า ความเสียหายของโจทก์มีเพียงใด โจทก์อุทธรณ์ว่า การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหายต่อชื่อเสียงในตัวสินค้า ต้องขาดรายได้ไปในปี 2541 ไม่ต่ำกว่า 20,000,000บาท ต้องเสียค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์เพิ่มขึ้น 1,000,000 บาท จำเลยทั้งสองไม่นำพยานมาสืบหักล้าง เท่ากับยอมรับว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 5,000,000บาท ตามที่โจทก์ประสงค์จะเรียกร้องจริง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้นำสืบว่าสินค้าที่จำเลยทั้งสองจำหน่ายมีคุณภาพไม่เท่ากับสินค้าของโจทก์หรือไม่ อย่างไร หากโจทก์ได้รับความเสียหายก็คงมีเพียงจำนวนของกลางที่ยึดได้จากจำเลยทั้งสองซึ่งคิดเป็นเงินไม่เกิน 80,000 บาท เห็นว่า โจทก์มีนายกวี รัตนปรีชาเวช ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของโจทก์มาเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงว่า สินค้าของจำเลยทั้งสองลักษณะของน้ำยาจะใสและเจือจางกว่าสินค้าของโจทก์ และมีนายวุฒิชัย กายเบญงามผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์และเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์มาเบิกความประกอบบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงว่าสินค้าน้ำยาเคมีเคลือบหนังที่โจทก์ผลิตมีคุณภาพดี มีมาตรฐานจนได้รับรางวัลหลายรางวัล สินค้าของจำเลยทั้งสองเป็นน้ำยาเคมีเคลือบเบาะหนังเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้มาตรฐานและไม่มีคุณภาพเทียบเท่าสินค้าของโจทก์ จำเลยทั้งสองมิได้นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างและพิสูจน์ให้เห็นว่าน้ำยาเคมีเคลือบเบาะหนังที่จำเลยทั้งสองนำมาจำหน่ายมีคุณภาพเท่ากับหรือเหนือกว่าสินค้าของโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า น้ำยาเคลือบเบาะหนังที่จำเลยทั้งสองนำมาจำหน่ายโดยปลอมเครื่องหมายการค้าWAXY ของโจทก์มีคุณภาพไม่ได้มาตรฐาน และมีคุณภาพด้อยกว่าสินค้าของโจทก์ เห็นได้ชัดว่าลูกค้าซึ่งซื้อสินค้าที่มีผู้ปลอมเครื่องหมายการค้า WAXY ของโจทก์จากจำเลยทั้งสองย่อมได้รับความเสียหาย เพราะได้สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ โดยเข้าใจว่าเป็นสินค้าของโจทก์ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงในเครื่องหมายการค้าของโจทก์จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชดใช้ความเสียหายในส่วนนี้แก่โจทก์ ส่วนที่โจทก์นำสืบว่าการที่จำเลยทั้งสองจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้า WAXY ปลอมในช่วงเดือนมกราคม 2541 จนถึงเดือนธันวาคม 2541 ก่อนที่เจ้าพนักงานตำรวจจะจับจำเลยทั้งสองได้นั้น ทำให้ยอดขายสินค้าของโจทก์ต่ำกว่าในปี 2540 ไม่น้อยกว่า 20,000,000 บาท นั้นเห็นว่าแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่ายอดขายสินค้าของโจทก์ในปี 2541 ต่ำกว่ายอดขายสินค้าของโจทก์ในปี 2540 ประมาณ 20,000,000 บาท และในปี 2542 หลังจากจำเลยทั้งสองถูกจับกุมแล้วยอดขายสินค้าของโจทก์ก็เพิ่มขึ้นกว่า 10,000,000บาท ก็ตาม แต่จำเลยทั้งสองก็มิใช่ผู้ผลิตสินค้าที่ปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์จำเลยทั้งสองเป็นแต่เพียงผู้รับสินค้ารายหนึ่งจากผู้ผลิตสินค้าน้ำยาเคลือบเบาะหนังมาจำหน่ายโดยใช้เครื่องหมายการค้า WAXY ปลอมอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย เป็นที่เห็นได้ว่าผู้ผลิตสินค้าย่อมต้องจำหน่ายสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมดังกล่าวให้ผู้จำหน่ายรายอื่นอีกหลายรายด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบมาจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้จำหน่ายสินค้าซึ่งปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์แต่เพียงรายเดียวในประเทศไทย และหากพิจารณายอดขายสินค้าของโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.8 แล้วจะเห็นได้ว่า หลังจากจำเลยทั้งสองถูกจับกุมดำเนินคดีแล้วยอดขายสินค้าของโจทก์ในเดือนกุมภาพันธ์ กรกฎาคม สิงหาคม และตุลาคมของปี 2542ก็ยังมีจำนวนต่ำกว่ายอดขายสินค้าของโจทก์ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2541 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายสินค้าที่ปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ทั้งตามอุทธรณ์ของโจทก์ก็กล่าวอ้างถึงยอดขายสินค้าที่ปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์ตามที่จำเลยที่ 2 ได้เบิกความในคดีอาญาว่า จำเลยทั้งสองจำหน่ายสินค้าได้เพียงปีละประมาณ 800,000 บาท ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันจำหน่ายสินค้าที่ปลอมเครื่องหมายการค้าของโจทก์จึงไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ยอดขายสินค้าของโจทก์ลดลงถึงกว่า 20,000,000 บาท ตามที่โจทก์นำสืบ แต่ก็มีเหตุผลให้เชื่อได้ว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองย่อมมีผลทำให้โจทก์จำหน่ายสินค้าของโจทก์ได้น้อยลงบ้าง ซึ่งถือเป็นความเสียหายส่วนหนึ่งของโจทก์ที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์ ส่วนที่โจทก์นำสืบว่า โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าของโจทก์เพิ่มขึ้นเพื่อส่งเสริมยอดขายสินค้าของโจทก์ให้สูงขึ้นนั้น เห็นว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นค่าใช้จ่ายตามปกติของการทำการค้าอยู่แล้วซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทุกปี แม้โจทก์จะนำสืบได้ว่าค่าใช้จ่ายในการโฆษณาการประชาสัมพันธ์สินค้าของโจทก์ในปี 2541 มีประมาณ 6,800,000 บาท และในปี 2542 มีประมาณ7,900,000 บาท ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากปีก่อน ๆ มากนัก แต่โจทก์ก็ได้รับประโยชน์จากการโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าของโจทก์ดังกล่าวแล้ว จึงไม่อาจถือเป็นความเสียหายของโจทก์อันเกิดจากการกระทำละเมิดของจำเลยทั้งสองได้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง กำหนดให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายรวมจำนวน 400,000 บาท ให้แก่โจทก์นั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดของจำเลยทั้งสองแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์และจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน