แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์ออกปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านเพื่อตรวจจับรถขนสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากร ด. ขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรโดยมีจำเลยนั่งมาในรถด้วยความเร็วและไม่ยอมหยุดให้ตรวจเมื่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้สัญญาณหยุด เฉี่ยวชนรถยนต์ ของโจทก์เสียหาย จำเลยเพียงนั่งมาในรถไม่มีส่วนทำความผิดด้วยทั้งจำเลยไม่ได้รู้เห็นในการทำละเมิดของด. หรือยุยงช่วยเหลือด. กระทำละเมิด ยังไม่พอถือว่าจำเลยร่วมทำละเมิดอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยถูกศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วเป็นเรื่องที่จำเลยถูกฟ้องว่าร่วมกับ ด.ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่น ไม่มีประเด็นเกี่ยวกับความเสียหายของรถยนต์ของโจทก์ที่ถูกจำเลยขับรถยนต์ชนอันเป็นคดีแพ่ง ข้อเท็จจริงในคดีอาญาจึงไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีแพ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน บ-8661 สงขลา บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรหลายรายการหลบหนีเจ้าหน้าที่ของโจทก์มาตามถนนสายควนลัง-สงขลา จากตำบลน้ำน้อยมุ่งหน้าไปตำบลคอหงส์อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุบริเวณหน้าสวนสาธารณะหาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ของโจทก์อีกชุดหนึ่งได้ตั้งด่านสกัดจับจำเลยกับพวกโดยนำรถยนต์ของโจทก์จอดให้สัญญาณจำเลยกับพวกที่จะผ่านมาให้หยุดเพื่อตรวจค้นอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย แต่จำเลยกับพวกกลับร่วมกันขับรถยนต์คันดังกล่าวพุ่งเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายหลายรายการ คิดเป็นเงิน 20,000 บาทขอให้บังคับจำเลยใช้เงินและดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 23,275 บาทและดอกเบี้ยต่อไปอีกในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ในวันเกิดเหตุนายดำรงหรือไข่ ธรรมเสน เป็นผู้ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียน บ-8661 สงขลา บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากร แล่นเข้าชนรถยนต์ของโจทก์ตามฟ้องจำเลยเป็นเพียงผู้นั่งร่วมมาในรถยนต์กับนายดำรงหรือไข่เท่านั้นจำเลยจึงไม่ได้ทำละเมิดหรือร่วมทำละเมิดต่อโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามที่คู่ความนำสืบไม่โต้แย้งกันว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ของโจทก์นำรถยนต์ของโจทก์ออกปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านเพื่อตรวจจับรถขนสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรมีนายดำรงค์หรือไข่ขับรถยนต์กระบะบรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรโดยมีจำเลยนั่งมาในรถด้วยความเร็วและไม่ยอมหยุดให้ตรวจเมื่อเจ้าหน้าที่ของโจทก์ให้สัญญาณหยุดเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหายเจ้าหน้าที่ของโจทก์จับจำเลยได้ ส่วนนายดำรงค์หลบหนีไป ต่อมาจำเลยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาข้อหาความผิดต่อเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 วรรคสอง,391, 83 ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 357/2535 ของศาลชั้นต้น มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยร่วมทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่คดีนี้ฟ้องโจทก์ตั้งรูปคดีมาว่า จำเลยกับพวกร่วมกันขับรถยนต์บรรทุกสินค้าหลบหนีภาษีศุลกากรแล้วชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายโจทก์ไม่มีพยานมานำสืบให้เห็นว่า จำเลยรวมกับนายดำรงค์ขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์อันเป็นการทำละเมิดโจทก์พยานโจทก์เท่าที่นำสืบมาได้ความแน่ชัดแต่เพียงว่า นายดำรงค์เป็นผู้ขับรถยนต์กระบะเฉี่ยวชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายจำเลยเป็นเพียงบุคคลภายนอกที่นั่งมาในรถยนต์กระบะที่นายดำรงค์เป็นผู้ขับเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยมีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่รถยนต์ของโจทก์ด้วย ทั้งไม่มีพฤติการณ์ใดส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยได้รู้เห็นในการทำละเมิดของของนายดำรงค์หรือยุยงช่วยเหลือนายดำรงค์กระทำละเมิดโจทก์ แม้นายดำรงค์จะมีส่วนทำละเมิดขับรถยนต์ชนรถยนต์ของโจทก์เสียหายเพียงเท่านี้ก็ยังไม่พอถือว่าจำเลยร่วมทำละเมิดอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยถูกฟ้องในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 357/2535 ของศาลชั้นต้น จนศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแล้ว ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยให้ฟังได้ว่าจำเลยทำละเมิดโจทก์ เห็นว่า คำพิพากษาคดีส่วนอาญาที่จำเลยคดีนี้ถูกฟ้องจนศาลพิพากษาลงโทษไปเด็ดขาดแล้วนั้น ก็ปรากฏเพียงว่าคดีอาญานั้นจำเลยถูกฟ้องหาว่าร่วมกับนายดำรงค์ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่และทำร้ายผู้อื่นเท่านั้น ไม่ได้มีประเด็นโดยตรงเกี่ยวกับความเสียหายของรถยนต์ของโจทก์ ข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวจึงเป็นคนละประเด็นกับคดีนี้และไม่มีผลผูกพันจำเลยในคดีนี้ คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำละเมิดต่อโจทก์”
พิพากษายืน