แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.สามีจำเลยเคยถูกส.ร้องทุกข์และกล่าวหาดำเนินคดีในข้อหาทำให้เสียทรัพย์พ.ต่อสู้ว่าที่ดินปลูกต้นไม้เป็นของพ.ได้รับมาโดยทางมรดกมิได้อาศัยหรือเช่าที่ดินแปลงนั้นจากใครศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าคดีไม่พอฟังว่าต้นไม้และที่ดินที่ปลูกต้นไม้เป็นของส. พิพากษายกฟ้องคดีดังกล่าวถึงที่สุดจากข้อต่อสู้ของพ.ในคดีดังกล่าวถือได้ว่าพ.ได้โต้แย้งส.ผู้มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทว่าพ.เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเท่ากับพ.ได้เปลี่ยนเจตนาการครอบครองที่ดินพิพาทจากการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของส.มาเป็นการแย่งการครอบครองเพื่อตนเองแล้วตั้งแต่นั้นเมื่อส.ไม่ได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทเสียภายใน1ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375ส.ก็หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งสิทธิครอบครองที่พิพาทจากพ. การที่ส.ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์หลังจากที่ส.หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนที่ดินพิพาทจากพ.หรือจำเลยแล้วแม้โจทก์จะซื้อที่ดินพิพาทจากส.โดยสุจริตและจดทะเบียนการโอนต่อเจ้าหน้าที่โดยสุจริตก็ตามโจทก์ในฐานะผู้รับโอนก็ย่อมจะไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ และห้ามมิให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้องอีกต่อไปกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินเดือนละ 1,500 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะข้นย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทจำเลยได้รับมรดกมาจากนายพั่วสามี โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทโดยสุจริตขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และยกฟ้องแย้งของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2521ร้อยเอกสุวรรณ (ยศในขณะนั้น) ได้กล่าวหาว่านายพั่ว อินโต สามีของจำเลยตัดฟันต้นไม้ในที่พิพาท ซึ่งเป็นที่ดินที่ร้อยเอกสุวรรณมีสิทธิครอบครอง ร้อยเอกสุวรรณจึงไปร้องทุกข์ดำเนินคดีอาญาแก่นายพั่วในข้อหาทำให้เสียทรัพย์ ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณานายพั่วต่อสู้ว่าที่ดินที่ปลูกต้นไม้ที่นายพั่วตัดฟันเป็นที่ดินที่นายพั่วมีสิทธิครอบครองโดยนายพั่วได้รับที่ดินแปลงดังกล่าวมา ทางมรดก นายพั่วมิได้อาศัยหรือเช่าที่ดินแปลงนั้นจากใครศาลชั้นต้นในคดีนั้นฟังข้อเท็จจริงว่าพยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอฟังว่าต้นไม้และที่ดินที่ปลูกต้นไม้เป็นของร้อยเอกสุวรรณจึงพิพากษายกฟ้อง คดีดังกล่าวถึงที่สุด รายละเอียดปรากฎตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 229/2522 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดสุพรรณบุรี โจทก์ นายพั่ว อินโต จำเลยซึ่งผูกติดอยู่กับสำนวนคดีนี้จากข้อต่อสู้ของนายพั่ว ในคดีดังกล่าวถือได้ว่านายพั่วได้โต้แย้งต่อพันตรีสุวรรณผู้มีชื่อเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เอกสารหมาย จ.4 แล้วว่านายพั่วเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทซึ่งเท่ากับนายพั่วได้เปลี่ยนเจตนาการครอบครองที่พิพาทจากการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของพันตรีสุวรรณมาเป็นการแย่งการครอบครองเพื่อตนเองแล้วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อพันตรีสุวรรณไม่ได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาทเสียภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง โดยนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสอง พันตรีสุวรรณก็หมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งสิทธิครอบครองในที่พิพาทจากนายพั่วและเมื่อนายพั่วถึงแก่ความตาย จำเลยผู้เป็นภริยาของนายพั่วก็ชอบที่จะรับมรดกของนายพั่วสืบสิทธิในที่พิพาทแทนนายพั่วได้ การที่พันตรีสุวรรณขายที่พิพาทให้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2532แสดงว่าขายให้หลังจากพันตรีสุวรรณหมดสิทธิที่จะฟ้องเอาคืนซึ่งที่พิพาทจากนายพั่วหรือจำเลยแล้ว โจทก์ในฐานะผู้รับโอนย่อมจะไม่มีสิทธิในที่พิพาทดีไปกว่าพันตรีสุวรรณผู้โอน แม้โจทก์จะซื้อที่พิพาทมาจากพันตรีสุวรรณโดยสุจริตและจดทะเบียนการโอนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริตก็ตาม แต่เมื่อพันตรีสุวรรณไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทเพราะถูกนายพั่วและจำเลยแย่งการครอบครองจนเลยกำหนดเวลาที่จะฟ้องเรียกคืนเสียแล้วโจทก์ในฐานะผู้รับโอนก็ย่อมจะไม่มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทเช่นกัน
พิพากษายืน