คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7212/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) บัญญัติให้เสนอคำฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ คำว่ามูลคดีเกิดขึ้น หมายถึง เหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามเช็คโดยบรรยายว่า เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์ได้นำเช็คไปเข้าบัญชีที่ธนาคารสาขาชุมแพ (จังหวัดขอนแก่น) เพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ส่วนสถานที่ตั้งของโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล โจทก์ระบุในคำฟ้องชัดเจนว่า ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 819/5 หมู่ที่ 1 จังหวัดขอนแก่น โดยมิได้บรรยายถึงสถานที่ตั้งแห่งอื่นอีก ดังนั้น สถานที่ที่จำเลยที่ 2 นำเช็คมาแลกเงินสดจึงได้แก่สถานที่ที่โจทก์ตั้งอยู่ในจังหวัดขอนแก่น ซึ่งย่อมเกี่ยวข้องกับเหตุที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิที่ทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง ศาลจังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้สลักหลังเช็คธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) สาขาพนมไพร โดยมีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่าย นำไปแลกเงินสดจากโจทก์ ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์นำเช็คดังกล่าวไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) สาขาชุมแพ เพื่อให้เรียกเก็บเงินตามเช็ค แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการสั่งจ่าย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 283,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 276,940 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลจังหวัดขอนแก่น เพราะมูลคดีเกิดนอกเขตอำนาจศาล และจำเลยทั้งสองมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตอำนาจศาล โจทก์สมคบกับผู้มีชื่อหรือผู้ทรงคนก่อนฉ้อฉลจำเลยที่ 1 การที่โจทก์รับแลกเช็คกับเงินสดเป็นธุรกิจที่อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของโจทก์ และการกระทำดังกล่าวขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 279,940 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 23 มิถุนายน 2541) ต้องไม่เกิน 6,810 บาท

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น คืนคำฟ้องเพื่อให้โจทก์ไปยื่นต่อศาลที่มีเขตอำนาจ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลชั้นต้น (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) บัญญัติว่า คำฟ้องให้เสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล หรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลไม่ว่าจำเลยจะมีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ คำว่ามูลคดีเกิดขึ้นหมายถึงเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้โจทก์มีอำนาจฟ้อง คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามเช็คโดยโจทก์บรรยายฟ้องข้อ 2 ว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็ค ส่วนจำเลยที่ 2เป็นผู้สลักเช็คและนำเช็คมาแลกเงินสดจากโจทก์ ฟ้องข้อ 3 บรรยายต่อไปว่าเมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์ได้นำเช็คไปเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาชุมแพ(จังหวัดขอนแก่น) เพื่อเรียกเก็บเงิน ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินส่วนสถานที่ตั้งของโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล โจทก์ระบุในคำฟ้องชัดเจนว่า ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 819/5 หมู่ที่ 1 ถนนมะลิวัลย์ อำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น โดยมิได้บรรยายถึงสถานที่ตั้งแห่งอื่นของโจทก์อีก จึงเข้าใจได้โดยชัดแจ้งว่าสถานที่ที่จำเลยที่ 2 นำเช็คมาแลกเงินสด คือสถานที่ที่โจทก์ตั้งอยู่ในจังหวัดขอนแก่น ดังนั้น สถานที่ดังกล่าวนี้ย่อมเกี่ยวข้องกับเหตุที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิที่ทำให้โจทก์เกิดอำนาจฟ้อง ศาลจังหวัดขอนแก่นซึ่งเป็นศาลชั้นต้น จึงมีอำนาจที่รับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับศาลอุทธรณ์ภาค 4 ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยประเด็นอื่นที่ยังมิได้วินิจฉัย แล้วมีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share