แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นในขณะจำเลยกระทำผิดและคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์ในการพิจารณาอยู่บ้าง แต่จำเลยฆ่า อ. เพื่อชิงทรัพย์แล้ว ยังใช้ค้อนทุบตีเด็กชายอายุเพียง 2 ขวบ ซึ่งไร้เดียงสาไม่อาจกระทำการเป็นปฏิปักษ์เนื่องในการกระทำความผิดของจำเลยแต่อย่างใด จนตายไปด้วยแสดงให้เห็นจิตใจอันเหี้ยมโหดหินชาติผิดมนุษย์ของจำเลยไม่สมควรลดหย่อนผ่อนโทษให้แก่จำเลย ให้ประหารชีวิต
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2525 เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งซึ่งหลบหนี ได้บังอาจร่วมกันลักเอาสร้อยคอนากหนัก 1 สลึงจำนวน 1 เส้น ราคา 1,200 บาท เงินสด 400 บาทของนางอำนวย บุญเดชไปโดยจำเลยกับพวกได้ใช้ค้อนและไม้ท่อนเป็นอาวุธตีทำร้ายนางอำนวย บุญเดช และเด็กชายนิรัตน์ บุญเดช หลายที โดยมีเจตนาฆ่า ทั้งนี้เพื่อความสะดวกแก่การชิงทรัพย์หรือปกปิดความผิดเป็นเหตุให้นางอำนวยและเด็กชายนิรัตน์ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก เหตุเกิดที่ตำบลดงประคำ อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก วันเดียวกันเจ้าพนักงานพบค้อนและไม้ที่จำเลยกับพวกใช้ในการกระทำผิดและหมวก 1 ใบของจำเลยตกในที่เกิดเหตุ จึงยึดไว้เป็นของกลาง ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม 2525 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมสร้อยคอนากของผู้ตายเป็นของกลาง ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 339, 83, 33 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 ริบไม้และค้อน คืนสร้อยคอนากของกลาง และให้จำเลยใช้เงิน 400 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามฟ้องพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 339, 83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 14 ให้ลงโทษตามมาตรา 339 วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้ประหารชีวิตจำเลย ริบไม้และค้อนของกลางคืนสร้อยของกลางและชดใช้เงิน 400 บาทแก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2525 เวลา 11 นาฬิกา นายกาหลง บุญเดช กับนางสุดใจ ภริยา กลับจากตัดฟืนเผาถ่านจะมาแวะที่บ้านนายพัด บุญเดช น้องชาย เพื่อพักร้อนและขอดื่มน้ำ ก่อนจะถึงบ้านนายพัดประมาณ 1 เส้น เห็นนายวิชัย บัวระวงศ์ จำเลยเดินลุกลี้ลุกลนลงจากบ้านนายพัดและเห็นชายอีกคนหนึ่งเดินล่วงหน้าไปก่อน ทั้งสองคนเดินโฉมหน้าไปทางเขาชำกระโดน เมื่อนายกาหลงกับภริยาแวะเข้าไปใต้ถุนบ้านเห็นรอยเลือดไหลลงมาและได้ยินเสียงเหมือนคนกรน จึงวิ่งขึ้นไปดู เห็นนางอำนวยและเด็กชายนิรัตน์ ภริยาและบุตรของนายพัดถูกทุบตีมีเลือดไหล นางอำนวยยังไม่สิ้นใจ แต่พูดไม่ได้แล้ว ส่วนเด็กชายนิรัตน์ตายแล้ว นางสุดใจวิ่งไปตามคนมาช่วยนายกาหลงไปแจ้งความนายเสาร์ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรตำบลห้องโพรง จ่าสิบตำรวจบรรจง นาคแจ่มกับพวกไปดูที่เกิดเหตุ พบผู้ตายทั้งสองถูกตีที่ใบหน้า ใกล้ ๆ ผู้ตายมีท่อนไม้และด้ามค้อนเปื้อนเลือด และพบหมวก 1 ใบ จ่าสิบตำรวจบรรจงทราบจากชาวบ้านว่า หมวกดังกล่าวเป็นของจำเลย และในวันนั้นเองเวลาประมาณ 11 นาฬิกาเศษ นายบุญรอดหรืออด ทุ้ยตา เก็บถ่านอยู่ที่เชิงเขาชำกระโดน เห็นจำเลยกับนายร่อนพี่ชายเดินผ่านมา พอห่างประมาณ 10 วา เห็นจำเลยไปล้างมือและล้างกางเกงที่บ่อน้ำ ส่วนนายร่อนไปนั่งที่ขอนไม้นายบุญรอดหรือออดเข้าไปถามนายร่อนว่าไปไหน นายร่อนว่าจะไปทำไร่ หลังจากนั้นนายบุญรอดหรือออดนั่งรถยนต์นายทุ้ยกลับบ้าน เมื่อมาถึงบ้านนายพัดเห็นมีคนมุงดูอยู่จึงเข้าไปดู นายเสาร์ผู้ใหญ่บ้านจึงให้นายบุญรอดหรือออดไปตามนายพัดซึ่งไปหาถ่านไม้ที่ป่ากลับบ้าน นายพัดตรวจดูแล้วพบว่าสร้อยคอนากหนัก 2 สลึง ราคา 1,200 บาท กับเงินสด 400 บาท หายไป ต่อมาวันที่ 4 พฤษภาคม 2525 พันตำรวจตรีชุบ ธรรมพิทักษ์ กับพวกไปจับกุมจำเลยได้ จำเลยรับสารภาพปรากฏตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพและพาพนักงานสอบสวนกับพวกไปเอาสร้อยนากของกลางที่จำเลยซ่อนไว้ใต้พระพุทธรูปในบ้านจำเลย ปรากฏตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.9 และภาพถ่ายประกอบคดีหมาย จ.11
จำเลยนำสืบอ้างฐานที่อยู่ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุจำเลยกับญาติ4 คนไปเลื่อยไม้อยู่ที่เชิงเขา ที่จำเลยรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนเพราะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจซ้อมและขู่จะฆ่า
พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวัน ทั้งจำเลยก็เป็นคนอยู่หมู่บ้านเดียวกันกับผู้ตายและนายกาหลงกับนางสุดใจ บุญเดช พยานโจทก์ส่วนนายบุญรอดหรือออด ทุ้ยตา แม้จะอยู่คนละตำบลกับจำเลย แต่ก็รู้จักจำเลยดี ที่นายกาหลงและนางสุดใจเบิกความว่าขณะเดินอยู่ห่างบ้านผู้ตายประมาณ 1 เส้น เห็นจำเลยเดินลงจากบ้านผู้ตาย จึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริงหลังจากนั้นเมื่อจำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งเดินไปถึงเชิงเขาชำกระโดนนายบุญรอดหรือออด ทุ้ยตา ก็เห็นจำเลยเดินมาจากทางบ้านผู้ตาย และเห็นจำเลยไปล้างมือและล้างกางเกงที่บ่อน้ำเป็นพิรุธอยู่ พยานโจทก์ทั้งสามปากนี้แม้จะไม่เห็นจำเลยในขณะทำร้ายผู้ตายทั้งสองก็ตาม แต่ก็เห็นจำเลยลงจากบ้านผู้ตายในเวลาใกล้เคียงกับผู้ตายทั้งสองถูกทำร้าย กล่าวคือพอจำเลยคล้อยหลังไปจากบ้านผู้ตาย นายกาหลงกับนางสุดใจก็ขึ้นไปพบนางอำนวยและเด็กชายนิรัตน์ถูกทำร้ายอยู่บนบ้าน นางอำนวยยังไม่ตายแต่พูดไม่ได้แล้ว พฤติการณ์เช่นนี้ประกอบกับเจ้าพนักงานตำรวจได้สร้อยคอนากของผู้ตายจากจำเลยหลังเกิดเหตุเพียง 3 วัน และจำเลยก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยได้สร้อยคอนากของกลางมาโดยชอบอย่างไร ข้อเท็จจริงดังกล่าวบ่งชัดว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ตีทำร้ายผู้ตายทั้งสองและชิงเอาสร้อยคอนากกับเงินสดไปจริง
ที่จำเลยฎีกาว่านายกาหลงเบิกความแตกต่างกับนางสุดใจ โดยนายกาหลงเบิกความว่า วันเกิดเหตุขึ้นไปบนบ้านเห็นผู้ตายทั้งสองนอนตายอยู่ใกล้กันจึงเดินลงมาจากบ้าน เห็นจำเลยเดินอยู่ห่างจากบ้าน 2 เส้นส่วนนางสุดใจเบิกความว่าเห็นจำเลยเดินลงมาจากบ้านผู้ตายแล้วจึงขึ้นไปบนบ้านผู้ตายกับนายกาหลงนั้น ข้อเท็จจริงปรากฏว่านายกาหลงเบิกความยืนยันตรงกับคำเบิกความของนางสุดใจว่า เห็นจำเลยเดินลงจากบ้านผู้ตายแล้ว และเห็นรอยเลือดไหลลงจากกระดานใต้ถุนบ้านพร้อมกับได้ยินเสียงเหมือนคนนอนกรนจึงขึ้นไปบนบ้านและเห็นนางอำนวยกับเด็กชายนิรัตน์นอนอยู่ มีบาดแผลถูกทุบตีทั้งสองคน ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง พยานโจทก์ที่เห็นจำเลยในวันเกิดเหตุทั้งสามปากต่างรู้จักจำเลยดี ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองจำเลย จึงไม่มีเหตุผลที่พยานโจทก์ดังกล่าวจะเบิกความปรักปรำจำเลย คำเบิกความของพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังพยานฐานที่อยู่ของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้
จำเลยฎีกาขอลดหย่อนผ่อนโทษหากฟังว่าจำเลยกระทำผิดจริงเพราะได้ให้การรับสารภาพ พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นในขณะจำเลยกระทำผิด และคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง แต่เมื่อพิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยแล้ว เห็นว่า นอกจากจำเลยฆ่านางอำนวยเพื่อชิงทรัพย์แล้ว จำเลยยังฆ่าเด็กชายนิรัตน์อายุเพียง 2 ขวบ ซึ่งเป็นเด็กไร้เดียงสา และไม่อาจกระทำการเป็นปฏิปักษ์หรือเป็นพิษเป็นภัยต่อจำเลย เนื่องในการกระทำความผิดของจำเลยแต่อย่างใด จำเลยยังโหดร้ายใช้ค้อนทุบตีเด็กชายนิรัตน์จนถึงแก่ความตายไปด้วย แสดงให้เห็นถึงจิตใจอันเหี้ยมโหดหินชาติผิดมนุษย์ของจำเลย จึงไม่สมควรลดหย่อนผ่อนโทษให้แก่จำเลย ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน