คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7206/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์โดยการทำซ้ำ โฆษณาและนำออกจำหน่ายเพื่อการค้าซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ และขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายทางการค้า จึงเท่ากับโจทก์อ้างว่า การกระทำของจำเลยซึ่งทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้นประกอบด้วยการทำซ้ำและการนำออกจำหน่ายเพื่อการค้าดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแต่เพียงในปัญหาว่าการกระทำซ้ำของจำเลยต่องานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายหรือไม่ จึงยังไม่ถูกต้อง ต้องวินิจฉัยด้วยว่าการที่จำเลยนำออกจำหน่ายเพื่อการค้าซึ่งเทปเพลงของกลางทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายทางการค้าหรือไม่
ความเสียหายจากการขาดรายได้ที่โจทก์จะได้รับเมื่อจำเลยกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์โดยการนำเทปเพลงที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์ออกจำหน่าย ย่อมเป็นความเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียโอกาสที่จะได้รับผลกำไรจากการนำงานอันมีลิขสิทธิ์ของตนออกจำหน่ายเท่านั้น หาใช่ความเสียหายที่คิดคำนวณจากราคาจำหน่ายเทปเพลงแต่ละม้วนซึ่งได้รวมต้นทุนการผลิตเอาไว้ด้วยแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้สร้างสรรค์งานดนตรีกรรมสิ่งบันทึกเสียงและงานศิลปกรรมภาพพิมพ์ (ปกเทป) ในผลงานเพลงอัลบัม จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์โดยการทำซ้ำ โฆษณา และนำออกจำหน่ายเพื่อการค้าซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ดังกล่าว ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 150,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 35,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน ดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (9 ธันวาคม 2540) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า”คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ประเด็นแรกว่า คำพิพากษาคดีอาญาถึงที่สุดว่าจำเลยนำออกโฆษณา (น่าจะเป็นเผยแพร่ต่อสาธารณชน) ขายและเสนอขายเทปเพลงอัลบัมชุดต่าง ๆ จำนวน 573 ม้วน ซึ่งเป็นเทปเพลงที่ทำซ้ำเทปเพลงจริงโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดถึงที่มาของแหล่งผลิตหรือผลผลิตหรือลิขสิทธิ์ในคุณลักษณะของสินค้าโจทก์ และหลงเข้าใจว่าผลงานของโจทก์เป็นผลงานคุณภาพต่ำไม่มีคุณภาพ และขาดความเชื่อถือในชื่อเสียงในทางการค้าที่มีต่อโจทก์ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายต่อชื่อเสียงในทางการค้าของโจทก์ได้นั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์โดยการทำซ้ำ โฆษณาและนำออกจำหน่ายเพื่อการค้าซึ่งงานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ โดยจำเลยได้ถูกศาลพิพากษาลงโทษในทางอาญาในการกระทำดังกล่าวแล้ว และขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายทางการค้าเนื่องจากทำให้สินค้าของโจทก์ถูกลดทอนความน่าเชื่อถือ จึงเท่ากับโจทก์อ้างว่าการกระทำของจำเลยซึ่งทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายนั้น ประกอบด้วยการทำซ้ำและการนำออกจำหน่ายเพื่อการค้าซึ่งเทปเพลงของกลาง ดังนั้นจึงต้องวินิจฉัยเสียด้วยว่าการที่จำเลยนำออกจำหน่ายเพื่อการค้าซึ่งเทปเพลงของกลางทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายทางการค้าหรือไม่ เมื่อศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางวินิจฉัยแต่เพียงในปัญหาว่า การกระทำซ้ำของจำเลยต่องานอันมีลิขสิทธิ์ของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายหรือไม่โดยยังมิได้วินิจฉัยถึงการที่จำเลยนำออกจำหน่ายเพื่อการค้าซึ่งเทปเพลงที่ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายหรือไม่นั้น จึงยังไม่ถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามในปัญหาดังกล่าวนี้ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางทำการวินิจฉัยใหม่โดยที่ปรากฏจากข้อเท็จจริงในคดีอาญาซึ่งยุติแล้วและผูกพันคดีแพ่งฟังได้ว่าการกระทำละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์โดยจำเลยนั้น ได้แก่การนำออกจำหน่ายเพื่อการค้า ซึ่งเทปเพลงที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ เมื่อโจทก์อ้างว่าการกระทำดังกล่าวทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายทางการค้า โจทก์จึงต้องนำพยานหลักฐานมาแสดงให้ศาลเห็นตามข้อกล่าวอ้างของโจทก์ เมื่อพิจารณาจากคำเบิกความของนายประเวช จิวัฒนาชวลิตกุล พยานโจทก์ซึ่งเบิกความว่า ในส่วนของค่าเสียหายต่อชื่อเสียงทางการค้าการที่จำเลยได้ทำซ้ำและลักลอบผลิตออกมา วัตถุดิบที่ผลิตนั้นไม่ได้มาตรฐานเช่นเดียวกับของโจทก์คือ มีคุณภาพต่ำและอายุการใช้งานสั้น เมื่อนำออกจำหน่ายทำให้ประชาชนโดยทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นผลงานของโจทก์ ทำให้ประชาชนลดความเชื่อถือที่มีต่อโจทก์ ขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 30,000 บาท คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวซึ่งเป็นบุคคลธรรมดามิใช่ผู้เชี่ยวชาญยังไม่เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า เทปเพลงของกลางที่จำเลยนำออกจำหน่ายมีคุณภาพไม่ดีอย่างไร ทั้งโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดนอกจากนี้มาสนับสนุนให้ศาลเห็นตามที่โจทก์กล่าวอ้างข้างต้น โจทก์จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้ได้อุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นต่อไปเรื่องค่าเสียหายจากการที่โจทก์ขาดรายได้จำนวน 51,570 บาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อรักษาประโยชน์ของโจทก์รวม 70,000 บาท นั้น ในส่วนค่าเสียหายจากการขาดรายได้โจทก์อ้างว่า เทปเพลงที่จำเลยได้ละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์ 1 ม้วน เท่ากับโจทก์ต้องขาดรายได้จากการจำหน่ายให้แก่ประชาชน 1 ม้วน โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเต็มจำนวนราคาจำหน่ายม้วนละ 90 บาท หาจำต้องนำราคาจำหน่ายมาหักออกจากราคาต้นทุนก่อนเพื่อให้เหลือกำไรสุทธิต่อ 1 ม้วน เห็นว่า ในราคาจำหน่ายเทปเพลงแต่ละม้วนนั้นจะประกอบด้วยส่วนที่เป็นต้นทุนในการผลิต และส่วนที่เป็นต้นทุนในการผลิต และส่วนที่เป็นผลกำไรซึ่งคำนวณได้จากส่วนต่างของต้นทุนในการผลิตและราคาจำหน่าย ความเสียหายจากการขาดรายได้ที่โจทก์จะได้รับเมื่อจำเลยกระทำการละเมิดลิขสิทธิ์โดยการนำเทปเพลงที่มีผู้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์โจทก์ออกจำหน่ายย่อมเป็นความเสียหายที่เกิดจากการสูญเสียโอกาสที่จะได้รับผลกำไรจากการนำงานอันมีลิขสิทธิ์ของตนออกจำหน่ายเท่านั้น หาใช่ความเสียหายที่คิดคำนวณจากราคาจำหน่ายเทปเพลงแต่ละม้วนซึ่งได้รวมต้นทุนการผลิตเอาไว้ด้วยแต่อย่างใดไม่ และเมื่อพิจารณาจากทางนำสืบของโจทก์ซึ่งมีนายประเวชมาเบิกความลอย ๆ ว่า โจทก์สืบทราบว่าจำเลยจำหน่ายเทปเพลงโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ตามงานเทศกาลต่าง ๆ ในภาคใต้อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลย โดยจำหน่ายเรื่อยมาจนถูกจับและพบเทปเพลงละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์จำนวน 573 ม้วน จำเลยจำหน่ายราคาม้วนละ 90 บาท แต่โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์สูญเสียประโยชน์จากการขาดรายได้ในส่วนที่เป็นผลกำไรจากการจำหน่ายเทปเพลงอย่างไรและเป็นจำนวนเท่าใดทั้งไม่ปรากฏว่าเทปเพลงที่ละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์ที่ยึดมานั้น จำเลยได้จำหน่ายให้แก่ผู้ใด และไม่แน่ว่าจำเลยจะจำหน่ายได้หรือไม่ ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่โจทก์ต้องจ้างนักสืบและทนายความเพื่อรักษาประโยชน์ผลงานของโจทก์ 40,000 บาท และรางวัลนำจับจำนวน 30,000 บาท นายประเวชพยานโจทก์เบิกความว่าโจทก์ต้องว่าจ้างสำนักงานทนายความในการดูแลงานลิขสิทธิ์ของโจทก์ซึ่งต้องใช้นักสืบ นักกฎหมาย ทนายความ และทีมงานในการจับจำเลยโดยโจทก์ต้องเสียค่าตอบแทนวิชาชีพในการนี้เป็นเงิน 40,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.7 และค่าบำเหน็จรางวัลผู้แจ้งเบาะแสจำนวน 30,000 บาท โดยโจทก์มิได้นำสืบว่าค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างไรในการบังคับตามสิทธิของโจทก์ที่จะต้องดำเนินการกับจำเลย อีกทั้งตามเอกสารหมาย จ.7 ก็เป็นเพียงหนังสือที่ทนายความมีถึงโจทก์เพื่อขอเบิกค่าใช้จ่าย แต่โจทก์ไม่มีหลักฐานการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวมานำสืบแสดงต่อศาลการที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายอันเป็นค่าขาดรายได้และค่าใช้จ่ายในการดูแลสิทธิประโยชน์ของโจทก์จำนวน 35,000 บาท นั้น จึงชอบด้วยเหตุผลแล้วอุทธรณ์ของโจทก์ทุกประเด็นฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share