แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.1 และส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยาน ศาลชั้นต้นรับเอกสารนั้นไว้เป็นพยานโจทก์และนำมาวินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์ไม่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ ถือว่าศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานเอกสารของโจทก์เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี แม้โจทก์มิได้ระบุอ้างเอกสารดังกล่าวและมิได้ส่งสำเนาให้จำเลย ศาลชั้นต้นก็มีอำนาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานฯมาตรา 45
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 168,000 บาทและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำนวน 25,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระให้โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2538 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม ได้รับค่าจ้างเดือนละ 28,000 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน เมื่อวันที่ 25 กันยายน2542 โจทก์ขอจับมือนางหงษ์ฟ้า จิตวรานนท์ ซึ่งทำหน้าที่มัคคุเทศน์นำลูกค้าของบริษัทนำเที่ยวไปรับประทานอาหารที่โรงแรมของจำเลยขณะจับมือโจทก์ใช้นิ้วชี้สะกิดกลางมือนางหงษ์ฟ้าในทำนองล่วงเกินแม้เป็นการกระทำที่เกินเลยไปบ้างก็อาจเป็นการกระทำในทำนองหยอกเย้าเพื่อนฝูงและโจทก์ได้ขอโทษสามีนางหงษ์ฟ้า จนนางหงษ์ฟ้ากับสามีไม่ติดใจเอาเรื่องแก่โจทก์ การกระทำของโจทก์ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ธุรกิจโรงแรมจำเลยตามที่สามีนางหงษ์ฟ้าขู่ว่าจะไม่นำนักท่องเที่ยวมารับประทานอาหารที่โรงแรมของจำเลย กรณีไม่ต้องด้วยระเบียบข้อบังคับเอกสารหมาย ล.5 ข้อ 10 ข้อ 11.4 และข้อ 12.16 และไม่เป็นการกระทำผิดอย่างร้ายแรง การตักเตือนตามเอกสารหมาย ล.6 ล.7 เป็นคนละเหตุกับคดีนี้ จึงไม่เป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน โจทก์ถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 168,000 บาท และสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 25,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2542 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์จับมือนางหงษ์ฟ้า จิตวรานนท์ และใช้นิ้วชี้สะกิดกลางมือนางหงษ์ฟ้าเป็นการล่วงเกินและเชิญชวนร่วมเพศ จึงเป็นการกระทำผิดวินัยตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยอย่างร้ายแรง นายสมชัย บรรณเกียรติ์ พยานจำเลยเบิกความว่าเคยตักเตือนโจทก์ในเรื่องชู้สาว โจทก์มิได้คัดค้าน จึงฟังได้ว่าโจทก์ยอมรับในข้อดังกล่าว และเป็นการกระทำผิดซ้ำคำเตือน แต่ศาลแรงงานกลางมิได้หยิบยกคำเบิกความของนายสมชัยขึ้นวินิจฉัยนั้น เห็นว่า ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่าการกระทำของโจทก์ต่อนางหงษ์ฟ้าในทำนองล่วงเกิน แม้เป็นการกระทำที่เกินเลยไปบ้างก็อาจเป็นไปทำนองหยอกเย้าเพื่อนฝูง จึงไม่เป็นการกระทำผิดร้ายแรง ทั้งการจะรับฟังพยานปากใดเป็นการใช้ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์จำเลยในข้อนี้เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลแรงงานกลาง จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522ข้อ 54 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้อ้างเอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานและมิได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้จำเลย ศาลแรงงานกลางรับฟังเอกสารดังกล่าวโดยฝ่าฝืนกฎหมายนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์เบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.1 และส่งเอกสารดังกล่าวเป็นพยาน ศาลแรงงานกลางรับเอกสารหมาย จ.1 ไว้เป็นพยานโจทก์และนำมาวินิจฉัยว่าการกระทำของโจทก์ไม่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเอกสารหมาย ล.5 ข้อ 10 ถือว่าศาลแรงงานกลางเห็นว่าพยานเอกสารของโจทก์เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี แม้โจทก์มิได้ระบุอ้างเอกสารดังกล่าวและมิได้ส่งสำเนาให้จำเลย ศาลแรงงานกลางก็มีอำนาจรับฟังเอกสารหมาย จ.1 เป็นพยานหลักฐานโจทก์ได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 45 อุทธรณ์จำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน