แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่ลูกหนี้นำเงินเข้าบัญชีและถอนไปในระยะเวลาที่ยังมีการเบิกเงินเกินบัญชีกันอยู่ หาเป็นการชำระหนี้เงินเบิกเกินบัญชีแต่อย่างใดไม่
จะนำข้อตกลงในการเบิกเงินเกินบัญชีที่ให้คิดดอกเบี้ยทบต้นทุกเดือนไปใช้ในกรณีที่มีการผิดนัดไม่ชำระหนี้แล้วไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคสอง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้จำนองที่ดินแปลงหนึ่งต่อจำเลย เป็นบุริมสิทธิลำดับที่ 2 เพื่อเป็นประกันหนี้ที่โจทก์จะขอเบิกเงินเกินบัญชีจากจำเลย หรือในเงินจำนวนใดจำนวนหนึ่ง ซึ่งโจทก์เป็นหนี้จำเลยในขณะจำนองหรือในเวลาใดเวลาหนึ่งต่อไปในภายหน้า เป็นเงินไม่เกิน 900,000 บาท
ก่อนจดทะเบียนจำนองมาจนบัดนี้โจทก์ไม่ได้เป็นหนี้จำเลยหรือก่อหนี้อย่างใดที่จะต้องรับผิดต่อจำเลย โจทก์ได้บอกกล่าวขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยไม่จัดการจึงขอให้ศาลบังคับ
จำเลยต่อสู้และฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่มีสิทธิจะขอให้จำเลยจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองเพราะโจทก์ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ที่บริษัทอุดม จำกัด เป็นลูกหนี้จำเลยไว้กับจำเลย 2 ฉบับ ซึ่งโจทก์จะต้องชำระในฐานะผู้ค้ำประกัน ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ ก็ขอให้เอาทรัพย์จำนองมาขายทอดตลาด
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า มูลหนี้ตามฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับมูลหนี้ตามฟ้องโจทก์โจทก์ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ต่อจำเลยจริงแต่มูลหนี้ตามที่จำเลยอ้างมาไม่อยู่ในข่ายที่โจทก์จะต้องรับผิดในฐานะเป็นผู้ค้ำประกัน
ศาลแพ่งเห็นว่า สัญญาจำนองคลุมถึงหนี้ที่โจทก์เป็นหนี้ธนาคารจำเลยอันเนื่องมาจากสัญญาค้ำประกันบริษัทอุดมไว้ต่อจำเลย
สัญญาค้ำประกันตามเอกสาร ล.67 นั้น แม้ในวันครบกำหนดสัญญาบริษัทอุดมเป็นหนี้จำเลยอยู่ก็จริง แต่หลังจากสัญญาค้ำประกันสิ้นกำหนด บริษัทอุดมได้นำเงินฝากเข้าบัญชีเกินกว่าจำนวนที่เป็นหนี้จึงเป็นการชำระหนี้แล้ว ความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันฉบับนี้จึงหมดไป ให้ยกฟ้องแย้งจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้จำนองที่ดินแปลงหนึ่งไว้ต่อจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้ที่โจทก์จะขอเบิกเงินเกินบัญชีจากจำเลย หรือในเรื่องเงินจำนวนใดจำนวนหนึ่งซึ่งโจทก์เป็นหนี้จำเลยในขณะจำนองหรือในเวลาใดเวลาหนึ่งต่อไปภายหน้าเป็นเงินไม่เกิน 900,000 บาท ก่อนทำสัญญาจำนองฉบับนี้ โจทก์ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของบริษัทอุดม จำกัด และบริษัทกรุงเทพการค้ากระดาษ จำกัด ที่มีต่อจำเลย
คดีมีประเด็นว่า
1. สัญญาจำนองคลุมถึงหนี้ที่โจทก์ค้ำประกันบริษัทอุดม จำกัดด้วยหรือไม่
2. หากสัญญาจำนองคลุมถึง โจทก์จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงใด
ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาจำนองคลุมถึงความรับผิดของโจทก์ตามสัญญาค้ำประกัน ล.67 และ ล.68 ด้วย
ข้อวินิจฉัยต่อไปมีว่า โจทก์จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพียงใด ตามสัญญาค้ำประกัน ล.67 ประกอบกับสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของบริษัทอุดม จำกัด ล.69 ได้ความว่า โจทก์ได้ค้ำประกันบริษัทอุดม จำกัด เบิกเงินเกินบัญชีภายในวงเงิน 20,000 บาท มีกำหนด 6 เดือน คือจนถึงวันที่ 6 มกราคม 2497 ตามบัญชีเดินสะพัดวันที่ 6 มกราคม 2497 บริษัทอุดม จำกัด เป็นหนี้เงินเบิกเกินบัญชีเป็นจำนวน 30,736.23 บาท ต่อจากนี้มีการนำเงินเข้าและถอนออกบัญชีได้เดินไปเรื่อย ๆ และปรากฏว่าในวันที่ 11 มกราคม 2497 (คืออีก 5 วันต่อมา) บริษัทอุดม จำกัด กลับเป็นเจ้าหนี้ธนาคารจำเลยเป็นเงิน 10,020.82 บาท หลังจากนี้ บางทีบริษัทอุดม จำกัดก็เป็นเจ้าหนี้ บางทีก็เป็นลูกหนี้ แต่ภายหลังวันที่ 16 พฤษภาคม 2501 เป็นต้นมา บริษัทอุดม จำกัด เป็นลูกหนี้มาเรื่อยและมิได้นำเงินเข้าบัญชีแต่อย่างใดอีก ธนาคารจำเลยก็คิดดอกเบี้ยตลอดมามิได้มีการเลิกสัญญากันอย่างใด วันที่ 31 กรกฎาคม 2501 บริษัทอุดม จำกัด เป็นหนี้จำนวน 17,645.64 บาท และธนาคารจำเลยได้มีหนังสือ ลงวันที่ 20 สิงหาคม 2501 บอกกล่าวให้โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้จำนวนนี้ แต่โจทก์ก็ไม่ชำระ เมื่อธนาคารจำเลยฟ้องแย้งในวันที่ 28 ตุลาคม 2502 ได้เรียกหนี้รายนี้เพิ่มขึ้นเป็น 20,400.23 บาท เพราะธนาคารจำเลยคิดดอกเบี้ยทบต้นตลอดมาทุกเดือน
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่บริษัทอุดม จำกัด นำเงินเข้าบัญชีและถอนไปในระยะเวลาที่ยังมีการเบิกเงินเกินบัญชีกันอยู่ หาเป็นการชำระหนี้เงินเบิกเกินบัญชีต่อธนาคารจำเลยอย่างใดไม่ ตามนัยฎีกาที่ 1032/2506 และ 1887/2506 แต่อย่างไรก็ตาม โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันมีความรับผิดที่จะต้องชำระหนี้แทนบริษัทอุดมเฉพาะหนี้จำนวน 17,645.64 บาทที่ถูกทวงถาม สำหรับดอกเบี้ยในเงินจำนวน17,645.64 บาทนี้ ธนาคารจำเลยจะคิดทบต้นต่อไปนับตั้งแต่วันที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ตามที่ถูกทวงถามแล้วหาได้ไม่ เพราะเกิดมีการผิดนัดขึ้นแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคสอง ซึ่งศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในฎีกาที่ 1887/2506ที่จำเลยฟ้องแย้งขอให้โจทก์ชำระหนี้จำนวน 20,400.23 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 12 ต่อปี ทบต้นทุกเดือน นับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะใช้เงินเสร็จนั้นโดยที่เงินจำนวน 20,400.23 บาทนั้นธนาคารจำเลยคิดดอกเบี้ยในต้นเงิน 17,645.64 บาท จากวันที่โจทก์ผิดนัดทบต้นทุกเดือน รวมมากับต้นเงินนี้ด้วย ซึ่งเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินมาในส่วนทบต้น จะให้โจทก์รับผิดเช่นนั้นไม่ได้ฉะนั้น นับตั้งแต่วันที่โจทก์ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามหนังสือทวงถามหรืออีกนัยหนึ่งตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2501 ซึ่งเป็นวันถัดจากวันที่ธนาคารจำเลยคิดดอกเบี้ยทบต้นเดือนสุดท้ายก่อนทวงถาม ธนาคารจำเลยเรียกให้โจทก์เสียดอกเบี้ยสำหรับต้นเงิน 17,645.64 บาท ได้ในอัตราร้อยละ 12 ต่อไป แต่ประการเดียวเท่านั้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันใช้เงินจำนวน 17,645.64 บาทแก่จำเลย พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2501 จนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าโจทก์ไม่ชำระ ให้เอาทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้