คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7183/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ข้อกำหนดใด ๆ ที่ศาลออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 จะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็วเท่านั้นการที่ศาลอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติดังกล่าวห้ามผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาในบริเวณศาล เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาถูกผู้กล่าวหาทำหนังสือร้องเรียนว่าผู้ถูกกล่าวหาได้เรียกร้องเงินที่สถานีตำรวจและทางโทรศัพท์ โดยอ้างว่าเพื่อนำไปจ่ายค่าเดินเรื่องแก่คนในศาลที่จะทำให้ศาลรอการลงอาญาแก่จำเลย ซึ่งตามหนังสือร้องเรียนผู้ถูกกล่าวหามิได้เข้าไปกระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบริเวณศาลแต่อย่างใด ดังนั้น การกล่าวอ้างของผู้ถูกกล่าวหามิได้ทำให้กระบวนพิจารณาต้องดำเนินไปโดยไม่เที่ยงธรรมหรือล่าช้า ข้อกำหนดของศาลชั้นต้นไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2543 ผู้กล่าวหาได้ทำบันทึกร้องเรียนต่อศาลชั้นต้นว่า เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2543ผู้กล่าวหาไปเยี่ยมจำเลยพี่สาวซึ่งถูกจับในข้อหาลักทรัพย์ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองกำแพงเพชร ได้พบกับผู้ถูกกล่าวหาผู้ถูกกล่าวหาบอกว่าหากจะให้จำเลยหลุดคดีรอการลงอาญาจะต้องใช้เงิน 40,000 บาท ผู้กล่าวหายังไม่ตกลง ต่อมาวันที่ 10เดือนเดียวกัน ผู้กล่าวหาได้โทรศัพท์คุยกับผู้ถูกกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาพูดว่าคดีจำเลยได้ฟ้องต่อศาลแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาได้ช่วยเหลือแล้วในชั้นนี้ศาลสั่งสืบเสาะจะต้องจ่ายเงินค่าเดินเรื่องให้คนในศาลที่ทำให้ได้สืบเสาะ 40,000 บาท และต้องซื้อแบรนด์รังนกให้ผู้เดินเรื่อง3 โหล เมื่อถึงวันตัดสินศาลจะตัดสินให้หลุดเลย ผู้กล่าวหาต่อรองขอชำระเงิน 40,000 บาท ให้ในวันที่ปล่อยตัวจำเลย ผู้ถูกกล่าวหาพูดว่าคนที่ช่วยเหลือก็ได้ช่วยเหลือแล้ว ถ้าไม่จ่าย 40,000 บาทเข้าอาจจะแกล้งให้ได้รับโทษหนักก็ได้

ผู้ถูกกล่าวหาให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งว่า พฤติการณ์ของผู้ถูกกล่าวหาเป็นการทำให้เสื่อมเสียต่อสถาบันศาลยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลเห็นสมควรออกข้อกำหนดห้ามผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาในบริเวณศาลต่อไปจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

ผู้ถูกกล่าวหาอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายืน

ผู้ถูกกล่าวหาฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลเป็นสถานที่ราชการประชาชนมีสิทธิเข้าไปติดต่องานราชการในบริเวณศาลได้ การพิจารณาและสืบพยานในศาลต้องทำโดยเปิดเผยประชาชนผู้สนใจมีสิทธิเข้าไปฟังการพิจารณาได้การที่จะปิดกั้นไม่ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเข้าไปในบริเวณศาลจะกระทำได้ก็แต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30ออกข้อกำหนดว่าเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยในบริเวณศาลห้ามผู้ถูกกล่าวหาเข้ามาในบริเวณศาลตั้งแต่วันที่มีคำสั่งเป็นต้นไปจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาถูกผู้กล่าวหาร้องเรียนว่าผู้ถูกกล่าวหาได้เรียกร้องเงินจากผู้กล่าวหาที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองกำแพงเพชรและทางโทรศัพท์ โดยอ้างว่าเพื่อนำไปจ่ายค่าเดินเรื่องแก่คนในศาลที่จะทำให้ศาลรอการลงอาญาแก่จำเลยนั้นข้อกำหนดใด ๆ ที่ศาลออกโดยอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30 จะต้องเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็วเท่านั้น ตามหนังสือร้องเรียนของผู้กล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้เข้าไปกระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบริเวณศาล การกล่าวอ้างของผู้ถูกกล่าวหามิได้ทำให้กระบวนพิจารณาของศาลต้องดำเนินไปโดยไม่เที่ยงธรรม ทั้งมิได้ทำให้กระบวนพิจารณาต้องดำเนินไปอย่างล่าช้า ข้อกำหนดของศาลชั้นต้นไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 30ข้อกำหนดดังกล่าวจึงไม่ชอบ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา กรณีไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้ถูกกล่าวหา”

พิพากษากลับ ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และคำสั่งศาลชั้นต้น

Share