แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยโดยค.ผู้เป็นตัวแทนและผู้ตายทำความตกลงกันให้ผู้ตายทำคำขอเอาประกันชีวิตที่จังหวัดสตูลแล้วค. เป็นผู้นำใบคำขอเอาประกันชีวิตเสนอจำเลยซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานครพิจารณาตกลงรับทำสัญญาประกันชีวิตทั้งการส่งเบี้ยประกันภัยผู้ตายก็ยังคงมอบให้ค.ที่จังหวัดสตูลเพื่อส่งให้แก่จำเลยต่อไปถือได้ว่ามูลคดีจากการทำสัญญาประกันชีวิตรายนี้เกิดที่จังหวัดสตูลโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดสตูลได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1) สารสำคัญของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา865อยู่ที่ว่าถ้าผู้เอาประกันภัยรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาสัญญาประกันชีวิตจึงจะตกเป็นโมฆียะการที่ผู้ตายมิได้แจ้งเรื่องเคยเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลและคลีนิกเกี่ยวกับกามโรคหนองในเทียมและซิฟิลิสให้จำเลยทราบยังไม่ถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่าถ้าได้แจ้งเช่นนั้นจะทำให้จำเลยบอกปัดไม่รับประกันชีวิตหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้นอันจะทำให้สัญญาประกันชีวิตที่ทำไว้เป็นโมฆียะตามบทมาตรานี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2534 จำเลยทำสัญญารับประกันชีวิตของนายพิชิต โพธิ์ทอง แบบการประกันภัยสะสมทรัพย์ครบอายุ 55 ปี ในวงเงิน 500,000 บาท ชำระเบี้ยประกันภัยเป็นรายปี ปีละ 27,349 บาท จำเลยสัญญาว่าจะจ่ายเงินจำนวนซึ่งเอาประกันภัยให้แก่ผู้รับประโยชน์ในเหตุมรณะของนายพิชิตที่เกิดขึ้นก่อนวันครบกำหนด โดยสัญญาประกันชีวิตกำหนดให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์เพียงผู้เดียว นายพิชิตได้ส่งเบี้ยประกันภัยรวม2 งวด ต่อมาในวันที่ 24 ธันวาคม 2535 นายพิชิตถึงแก่กรรมด้วยสาเหตุภาะวการทำงานของหัวใจล้มเหลวโจทก์แจ้งให้จำเลยจ่ายเงินจำนวน 500,000 บาท ตามสัญญาประกันชีวิต แต่จำเลยจ่ายให้เพียง53,269.43 บาท ยังคงค้างอยู่เป็นเงิน 446,730.57 บาท จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2536 ซึ่งเป็นวันผิดนัดจนถึงวันฟ้องเป็นเงินดอกเบี้ย 34,789.90 บาท รวมเป็นเงิน 481,520.47 บาทอนึ่งการเสนอทำสัญญาประกันชีวิตของจำเลยผ่านตัวแทนของจำเลยซึ่งกระทำและส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัยที่จังหวัดสตูลมูลคดีจึงเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสตูล ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน481,520.47 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 446,730.57 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า มูลคดีนี้เกิดขึ้นที่สำนักงานของจำเลยในเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ตัวแทนของจำเลยที่จังหวัดสตูลเป็นเพียงผู้ชี้ช่องในการขอทำสัญญาประกันชีวิตและรวบรวมเอกสารส่งบริษัทจำเลยเท่านั้น การขอทำสัญญาประกันชีวิตเป็นเพียงคำเสนอเพื่อส่งให้แก่จำเลยที่กรุงเทพมหานครพิจารณาและกรมธรรม์ประกันภัยจะต้องออกโดยจำเลยที่กรุงเทพมหานครเท่านั้น มูลคดีจึงมิได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสตูล โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดสตูล นายพิชิตผู้ตายยื่นทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลยเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2534 โดยตอบคำถามของจำเลยว่าผู้ตายไม่เคยเป็นกามโรค หนองในเทียม และระหว่าง 5 ปีที่ผ่านมาผู้ตายไม่เคยได้รับการตรวจเลือดจำเลยจึงออกกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่ผู้ตายเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2534 หลังจากผู้ตายถึงแก่กรรมแล้วต่อมากลางเดือนพฤษภาคม 2536 จำเลยจึงทราบว่าก่อนผู้ตายยื่นขอทำสัญญาประกันชีวิตกับจำเลย ผู้ตายเคยรักษาตัวในโรงพยาบาล คลินิก และโพลิคลินิกเกี่ยวกับกามโรค หนองในเทียมและมีการตรวจเลือดในช่วงปี 2531 ถึงปี 2534 การที่ผู้ตายปกปิดข้อเท็จจริงเช่นนี้เป็นเหตุให้สัญญาประกันชีวิตตกเป็นโมฆียะจำเลยจึงมีหนังสือแจ้งโจทก์เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2536 ปฏิเสธการจ่ายเงินตามที่โจทก์เรียกร้องอันเป็นการบอกล้างสัญญาประกันชีวิตพร้อมทั้งคืนเบี้ยประกันภัยที่ผู้ตายได้ชำระแล้วเป็นเงินจำนวน53,269.43 บาท สัญญาประกันชีวิตจึงตกเป็นโมฆะ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินในจำนวนซึ่งเอาประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 446,730.57 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2536จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง (วันที่ 10มิถุนายน 2537) ต้องไม่ให้เกิน 34,789.90 บาท
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1) กำหนดให้คำฟ้องต้องเสนอต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลหรือต่อศาลที่มูลคดีเกิดขึ้นในเขตศาลนายคุ้มเกียรติ ฌอสกุล พยานจำเลยเบิกความรับว่า พยานเป็นตัวแทนจำเลย มีหน้าที่หาลูกค้าและนำเงินส่งจำเลย สำหรับรายของผู้ตายพยานเป็นตัวแทนของจำเลยรับคำขอเอาประกันชีวิตจากผู้ตายเมื่อผู้ตายถึงแก่กรรมพยานเป็นผู้รับคำร้องขอเพื่อเรียกค่าสินไหมส่งไปให้บริษัทจำเลยพิจารณาตามใบคำขอเอาประกันชีวิตเอกสารหมาย ป.ล.1 (ศาลแพ่งกรุงเทพใต้) ซึ่งนายมานิตย์ จุลสุคนธ์ผู้จัดการส่วนสินไหมของจำเลยเบิกความรับรองไว้ ปรากฏว่าเป็นแบบฟอร์มที่มีการกรอกรายการที่ผู้ตายขอเอาประกันภัย โดยช่องตัวแทนหน้าแรกระบุชื่อ คุ้มเกียรติ ณ แผ่นหลังหน้าสุดท้ายระบุว่าเขียนที่จังหวัดสตูล มีผู้ลงลายมือชื่อในช่องพยานและตัวแทนซึ่งคล้ายกับลายมือชื่อนายคุ้มเกียติ ฌอสกุล ที่ปรากฏในคำให้การพยาน และผู้ตายลงลายมือชื่อไว้ในช่องลายมือชื่อของผู้ขอเอาประกันภัยแสดงให้เห็นว่าจำเลยโดยนายคุ้มเกียรติผู้เป็นตัวแทน และผู้ตายทำความตกลงกันให้ผู้ตายทำคำขอเอาประกันชีวิตที่จังหวัดสตูลแล้วนายคุ้มเกียรติเป็นผู้นำใบคำขอเอาประกันชีวิตเสนอจำเลยซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานครพิจารณาตกลงรับทำสัญญาประกันชีวิตทั้งการส่งเบี้ยประกันภัยผู้ตายก็ยังคงมอบให้นายคุ้มเกียรติที่จังหวัดสตูลเพื่อส่งให้แก่จำเลยต่อไป ถือได้ว่ามูลคดีจากการทำสัญญาประกันชีวิตรายนี้เกิดที่จังหวัดสตูล โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดสตูลได้
ก่อนผู้ตายทำใบคำขอเอาประกันชีวิต ผู้ตายเคยเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลและคลีนิคเกี่ยวกับกามโรค หนองในเทียมและซิฟิลิส สำหรับคำให้การของจำเลยไม่ปรากฎว่าขณะผู้ตายทำใบคำขอเอาประกันชีวิต ผู้ตายยังคงเป็นโรคดังล่าวอยู่หรือไม่ และข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังมาโดยจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านฟังได้ว่าขณะทำสัญญาประกันชีวิตผู้ตายมิได้ป่วยเป็นกามโรคเพียงแต่เคยเป็นกามโรคและรักษามาจนหายเป็นปกติแล้ว การที่ผู้ตายเคยเข้ารับการตรวจรักษาเกี่ยวกับกามโรค หนองในเทียม และซิฟิลิสจะถือว่าสัญญาประกันชีวิตเป็นโมฆียะหรือไม่นั้น สารสำคัญของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 อยู่ที่ว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยรู้อยู่แล้วละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริง ซึ่งอาจจงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาสัญญาประกันชีวิตจึงจะตกเป็นโมฆียะ ซึ่งจะต้องพิจารณาข้อความที่ละเว้นว่ามีความสำคัญถึงขนาดอาจจูงใจให้ผู้รับประกันภัยเรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นหรือบอกปัดไม่ยอมทำสัญญาหรือไม่เป็นสำคัญ จะถือว่าถ้ามีการปกปิดความจริงไม่ว่าประการใด ๆ แล้วจะทำให้สัญญาเป็นโมฆียะไปเสียทั้งหมดหาได้ไม่สำรับข้อความจริงที่ผู้ตายละเว้นไม่เปิดเผยเป็นเรื่องที่ผู้ตายเคยเข้ารับการตรวจรักษาเกี่ยวกับกามโรค หนองในเทียม และซิฟิลิสซึ่งผู้ตายหายจากโรคดังกล่าวแล้ว โรคดังกล่าวจึงไม่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อผู้ตายซึ่งในข้อนี้นายมานิตย์ จุลสุคนธ์ ผู้จัดการส่วนสินไหมของจำเลยและนายคุ้มเกียรติต่างเบิกความตอบโจทก์ถามค้านว่า กามโรค หนองในเทียม และซิฟิลิส ที่ไม่เกี่ยวกับโรคเอดส์เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง สามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่าผู้ตายเป็นโรคเอดส์ ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ผู้ตายมิได้แจ้งเรื่องเคยเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลและคลินิกเกี่ยวกับกามโรค หนองในเทียม และซิฟิลิส ให้จำเลยทราบยังไม่ถึงขนาดที่จะอนุมานได้ว่าถ้าได้แจ้งเช่นนั้นจะทำให้จำเลยบอกปัดไม่รับประกันชีวิตหรือเรียกเบี้ยประกันภัยให้สูงขึ้น อันจะทำให้สัญญาประกันชีวิตที่ทำไว้เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865จำเลยจึงต้องรับผิด
พิพากษายืน