แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว จำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสและการปกครองบุตรเท่านั้นส่วนโจทก์มิได้อุทธรณ์ ฉะนั้นคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่โจทก์และจำเลยหย่ากันจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาให้บุตรอยู่ในความปกครองของโจทก์ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งหมด รวมตลอดถึงประเด็นเรื่องการหย่าซึ่งยุติไปแล้ว โดยมิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องการแบ่งสินสมรสด้วยเช่นนี้ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) ศาลฎีกาเห็นสมควรยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่มิชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าวและวินิจฉัยประเด็นเรื่องการแบ่งสินสมรสที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยไปเสียเลย โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก โจทก์บรรยายฟ้องขอแบ่งสินสมรสจากจำเลยโดยระบุว่ามีสินสมรสอยู่ 3 รายการ คือ รถยนต์นั่งยี่ห้อมาสด้า ที่ดินโฉนดที่1912 พร้อมบ้าน 1 หลัง และที่ดินโฉนดที่ 10733 ซึ่งถือกรรมสิทธิ์รวมกับผู้อื่นอยู่ โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสดังกล่าวกึ่งหนึ่ง จึงเป็นคำฟ้องที่โจทก์ขอแบ่งสินสมรสกึ่งหนึ่งของสินสมรสที่มีอยู่นั่นเอง และตามรายงานกระบวนพิจารณาโจทก์แถลงประสงค์ที่จะได้สินสมรสไว้โดยแบ่งจำนวนเงินให้แก่จำเลยเช่นกันมิใช่มุ่งประสงค์เฉพาะแต่เพียงจำนวนเงินส่วนแบ่งสินสมรสจำนวน352,000 บาท ที่ระบุมาเท่านั้นส่วนที่โจทก์ตีราคาเป็นจำนวนเงินดังกล่าวมา ก็เป็นการตีราคาทรัพย์สินเป็นทุนทรัพย์เพื่อประโยชน์ในการคิดคำนวณค่าขึ้นศาล หาใช่เป็นข้อจำกัดแห่งคำฟ้องที่จะต้องแบ่งตามจำนวนเงินที่ตีราคาไม่ ศาลจึงชอบที่พิพากษาให้จำเลยแบ่งสินสมรสทั้ง 3 รายการ เฉพาะส่วนของโจทก์และจำเลยให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยโดยอ้างเหตุว่าจำเลยทำร้ายโจทก์หมิ่นประมาทโจทก์และมารดาโจทก์อย่างร้ายแรงจึงขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดการการเป็นสามีภริยากันให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองเด็กชายกษิดิ์เดช แอดำ แต่ผู้เดียวและขอให้แบ่งสินสมรสให้แก่โจทก์เป็นเงิน 352,000 บาทตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้อง จำเลยให้การปฏิเสธว่า จำเลยมิได้ทำร้ายหรือหมิ่นประมาทโจทก์และมารดาโจทก์ เหตุที่ขอฟ้องหย่าไม่เป็นความจริง แต่เมื่อโจทก์ไม่ประสงค์จะอยู่กินกับจำเลยอีกต่อไป จำเลยก็ขอให้ศาลพิพากษาให้หย่า จำเลยพร้อมจะจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ทันที่ ส่วนประเด็นเรื่องโจทก์ขอแบ่งสินสมรสนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิเพียงขอแบ่งสินสมรส แต่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ร่วมที่เกี่ยวกับสินสมรสด้วยส่วนบุตรผู้เยาว์นั้นควรอยู่ในอำนาจปกครองของจำเลย จำเลยจึงฟ้องแย้งขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้โจทก์ร่วมรับผิดชอบชำระหนี้สินที่เกี่ยวกับสินสมรสและขอให้บุตรผู้เยาว์อยู่ในความปกครองของจำเลยแต่เพียงผู้เดียว โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์พร้อมที่จะชำระหนี้สินที่เป็นหนี้ร่วมแต่ประเด็นเรื่องบุตรผู้เยาว์ โจทก์มีความเหมาะสมยิ่งกว่าจำเลยที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์
ระหว่างพิจารณา โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันขอให้ศาลพิพากษาให้หย่าไปได้ ส่วนประเด็นเรื่องที่โจทก์ขอแบ่งสินสมรสและประเด็นเรื่องที่จำเลยขอให้โจทก์ร่วมรับผิดในหนี้ร่วมโจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่าทรัพย์สินทั้ง 3 รายการตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องเป็นสินสมรสจริง และต่างรับข้อเท็จจริงกันว่า หนี้สินตามฟ้องแย้งของจำเลยข้อ 5.1, 52 และ 5.3เป็นหนี้สินร่วมจริง ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีสามารถวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องสืบพยานจึงมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้โจทก์และจำเลยใช้อำนาจปกครองเด็กชายกษัดิ์เดชแอดำ บุตรผู้เยาว์ร่วมกัน โดยให้ผู้เยาว์อยู่กับฝ่ายโจทก์แต่ให้จำเลยมีสิทธิไปเยี่ยมเยียนดูแลหรือรับผู้เยาว์ไปอยู่ด้วยเป็นครั้งคราว ให้แบ่งสินสมรสให้โจทก์และจำเลยได้ส่วนเท่ากันซึ่งประกอบด้วย 1. รถยนต์เก๋งยี่ห้อมาสด้า เลขทะเบียน 2 ป-4354กรุงเทพมหานคร 2. ที่ดินโฉนดที่ 19125 ตำบลบางชันอำเภอมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 60 ตารางวา พร้อมบ้านชั้นเดียว 1 หลัง เลขที่ 59/19 และ 3. ที่ดินโฉนดที่ 10733แขวงบางชัน เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เฉพาะส่วนของโจทก์และจำเลย ให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดในหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสทั้ง 3 รายการตามฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่าจำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์รับเงินสินสมรสจำนวน 352,000 บาท จากจำเลย และให้สินสมรสทั้งหมดเป็นของจำเลยฝ่ายเดียว และขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ศาลชั้นต้นทำการสืบพยานเกี่ยวกับเรื่องอำนาจปกครองผู้เยาว์แล้วมีคำพิพากษาตามรูปคดี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งหมด ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีเป็นการพิพากษานอกเหนือไปจากอุทธรณ์ของจำเลยจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอและกระทบกระเทือนถึงการหย่าตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งจำเลยไม่ได้อุทธรณ์และโจทก์ได้นำคำพิพากษาศาลชั้นต้นไปจดทะเบียนหย่าเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยอุทธรณ์คำพิพากษาเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการแบ่งสินสมรสและการปกครองบุตรเท่านั้นส่วนโจทก์มิได้อุทธรณ์ฉะนั้นคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่โจทก์และจำเลยหย่ากันจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยแล้วพิพากษาให้บุตรอยู่ในความปกครองของโจทก์ไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งหมดรวมตลอดถึงประเด็นเรื่องการหย่าซึ่งยุติไปแล้ว โดยมิได้วินิจฉัยประเด็นเรื่องการแบ่งสินสมรสด้วย เช่นนี้ เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1)ศาลฎีกาเห็นสมควรยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่มิชอบด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว และวินิจฉัยประเด็นเรื่องการแบ่งสินสมรสที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยไปเสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก จำเลยอุทธรณ์ว่าตามฟ้องโจทก์ขอแบ่งสินสมรสเป็นเงินจำนวน 352,000 บาท ซึ่งจำเลยตกลงยินยอมแบ่งให้แก่โจทก์เต็มตามฟ้อง โจทก์มิได้ขอให้มีการประมูลกันระหว่างโจทก์จำเลยหรือให้ขายทอดตลาดแต่อย่างใด ศาลจึงไม่มีอำนาจพิพากษาให้ใช้วิธีการแบ่งสินสมรสเป็นอย่างอื่นอีกได้นั้น เห็นว่าโจทก์ระบายฟ้องขอแบ่งสินสมรสจากจำเลยโดยระบุว่ามีสินสมรสอยู่3 รายการ คือ รถยนต์นั่งยี่ห้อมาสด้า เลขทะเบียน 2ป-4354กรุงเทพมหานคร ที่ดินโฉนดที่ 19125 ตำบลบางชัน อำเภอมีนบุรีกรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 60 ตารางวา พร้อมบ้าน 1 หลัง และที่ดินโฉนดที่ 10733 แขวงบางชัน เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร เนื้อที่51 ตารางวา ซึ่งถือกรรมสิทธิ์รวมกันผู้อื่นอยู่โจทก์มีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสดังกล่าวกึ่งหนึ่ง จึงเป็นคำฟ้องที่โจทก์ขอแบ่งสินสมรสกึ่งหนึ่งของสินสมรสที่มีอยู่นั่นเอง และตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 10 ตุลาคม 2537 โจทก์แถลงประสงค์ที่จะได้สินสมรสไว้โดยแบ่งจำนวนเงินให้แก่จำเลยเช่นกันมิใช่มุ่งประสงค์เฉพาะแต่เพียงจำนวนเงินที่ระบุมาเท่านั้นส่วนที่โจทก์ตีราคาเป็นจำนวนเงิน ก็เป็นการตีราคาทรัพย์สินเป็นทุนทรัพย์เพื่อประโยชน์ในการคิดคำนวณค่าขึ้นศาล หาใช่เป็นข้อจำกัดแห่งคำฟ้องที่จะต้องแบ่งตามจำนวนเงินที่ตีราคามาดังที่จำเลยหรือไม่ ฉะนั้นคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้จึงชอบแล้ว
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับการหย่าและการแบ่งสินสมรส ให้จำเลยแบ่งสินสมรสคือรถยนต์เก๋งยี่ห้อมาสด้า เลขทะเบียน 2ป-4354 กรุงเทพมหานครที่ดินโฉนดที่ 19125 ตำบลบางชัน อำเภอมีนบุรี กรุงเทพมหานครเนื้อที่ 60 ตารางวา พร้อมบ้านชั้นเดียว 1 หลัง เลขที่ 59/19 และที่ดินโฉนดที่ 10733 แขวงบางชัน เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานครเฉพาะส่วนของโจทก์และจำเลยให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่งให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดในหนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรสทั้ง 3 รายการตามฟ้องแย้งของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์