คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1636/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถบรรทุกน้ำมันซึ่งมีผู้เสียหายขออาศัยโดยสารมาด้วย ระหว่างทางรถตกหลุมแหนบหักไปค้ำคันส่ง ทำให้รถเฉไปชนหลักกิโลเมตรข้างทางและตะแคงลง ทำให้ผู้เสียหายถึงแก่กรรม อันเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น แม้รถจำเลยจะบรรทุกน้ำหนักเกินอัตราก็ตามแต่เมื่อเหตุที่เกิดขึ้นมิได้เนื่องมาจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยแล้ว จำเลยก็หาต้องรับผิดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเลินเล่อ ทำให้รถพลิกคว่ำเป็นเหตุให้นายสถิตย์ บุญศิริ บุตรโจทก์ซึ่งโดยสารมาด้วยถึงแก่ความตาย จึงขอเรียกค่าอุปการะและค่าสินไหมทดแทน

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นเห็นว่า เหตุที่เกิดขึ้นเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยไม่ต้องรับผิดพิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเชื่อตามคำพยานจำเลยว่า จำเลยขับรถไม่เร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ ทั้งนี้ เพราะพยานจำเลยได้ถูกเจ้าพนักงานสอบสวนเรียกไปสอบสวน พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการเห็นว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้

ปัญหามีว่า การที่จำเลยที่ 1 บรรทุกน้ำหนักเกินไป 400 กิโลกรัมจะเป็นเหตุให้รถตะแคงหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ได้ความจากพยานโจทก์และพยานจำเลยว่า ก่อนเกิดเหตุเมื่อจำเลยที่ 1 ขับรถข้ามสะพานมาเล็กน้อย ล้อรถขวาข้างหน้าตกหลุม เป็นเหตุให้แหนบรถข้างขวาหักรถเฉไปทางขวาจำเลยที่ 1 พยายามหักพวงมาลัยไปทางซ้ายแต่ปรากฏว่าพวงมาลัยทำงานไม่ได้ โดยแหนบหักไปค้ำคันส่ง รถจึงไปชนหลักกิโลเมตรข้างทางตะแคงลง เห็นได้ว่ารถตะแคงเพราะแหนบที่หักไปค้ำคันส่งทำให้จำเลยที่ 1 บังคับรถไม่ได้ กรณีที่แหนบรถหักไปค้ำคันส่งนี้เป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยที่ 1 ไม่อาจจะรู้และไม่สามารถป้องกันได้แม้จะฟังว่าแหนบรถหักเนื่องมาจากบรรทุกน้ำหนักเกินอัตรา และรถตกหลุมก็ดี แต่กรณีดังกล่าวไม่น่าจะเป็นเหตุให้รถตะแคงเพราะปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ขับรถไม่เร็ว จำเลยที่ 1 ได้ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและปฏิบัติในพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเยี่ยงคนขับรถทั่ว ๆไปทั้งหลายแล้ว จึงถือได้ว่าเหตุที่เกิดขึ้นไม่ใช่เนื่องจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาของโจทก์เสีย

Share