แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 ให้การตอนแรกว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยซื้อมาจาก ท. และได้ใส่ชื่อ ส. ไว้แทน เพราะขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังเป็นคนต่างด้าวอยู่ภายหลังจึงให้ใส่ชื่อ ต. ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ทั้งสามไว้แทน แต่ในตอนหลังกลับให้การว่าจำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ด้วยนั้น ซึ่งหากฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแล้ว ย่อมไม่เกิดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องการครอบครองปรปักษ์อันเป็นการครอบครองที่ดินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปในตัว คำให้การของจำเลยที่ 1 ในประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์จึงขัดแย้งกันเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ แต่คำให้การของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสามว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสาม แต่เป็นของจำเลยที่ 1 คดีคงมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 หรือโจทก์ทั้งสาม
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินกับบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ทั้งสามและส่งมอบที่ดินในสภาพเรียบร้อยกับให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 113,333.33 บาท และค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนและขนย้ายเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ทั้งสามดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 19420 เลขที่ดิน 525 ตำบลตลาดขวัญ (บางแพรก) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี ให้แก่จำเลยที่ 1 หากโจทก์ทั้งสามไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสาม
จำเลยที่ 2 ให้การ ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม นางสาวประไพ ทายาทของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ทั้งสามดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 19420 เลขที่ดิน 525 ตำบลตลาดขวัญ (บางแพรก) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี ให้แก่จำเลยที่ 1 หากโจทก์ทั้งสามไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสาม ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสาม และให้โจทก์ทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสองโดยกำหนดค่าทนายความให้ 15,000 บาท
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสามใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 10,000 บาท แทนจำเลยทั้งสอง
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามประการแรกว่า คำให้การของจำเลยทั้งสองชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง หรือไม่ เห็นว่า จำเลยที่ 1 ให้การตอนแรกว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 โดยซื้อมาจากนายเทียบ และได้ใส่ชื่อนางสาวสมศรีไว้แทน เพราะขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังเป็นคนต่างด้าวอยู่ ภายหลังจึงให้ใส่ชื่อนางสาวเตือนใจซึ่งเป็นมารดาของโจทก์ทั้งสามไว้แทน แต่ในตอนหลังกลับให้การว่า จำเลยที่ 1 ครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ด้วยนั้น ซึ่งหากฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแล้ว ย่อมไม่เกิดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องการครอบครองปรปักษ์อันเป็นการครอบครองที่ดินซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ไปในตัว คำให้การของจำเลยที่ 1 ในประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์จึงขัดแย้งกัน เป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ แต่คำให้การของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสามว่า ที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสามแต่เป็นของจำเลยที่ 1 คดีคงมีประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 หรือโจทก์ทั้งสาม ฎีกาของโจทก์ทั้งสามในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยที่ 1 หรือโจทก์ทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองที่มิได้โต้แย้งกันฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 อยู่กินฉันสามีภริยากับนายชินที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน โจทก์ทั้งสามเป็นบุตรที่เกิดจากนายชินกับนางสาวเตือนใจ ต่อมาเมื่อประมาณปี 2501 นายชินพาจำเลยที่ 1 เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย และอยู่ร่วมกับนางสาวเตือนใจที่บ้านเลขที่ 236 – 240 ถนนดำรงรักษ์ แขวงคลองมหานาค เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร แต่จำเลยที่ 1 กับนางสาวเตือนใจมักมีเรื่องทะเลาะกัน จำเลยที่ 1 จึงต้องการแยกตัวออกไปพักอาศัยและประกอบอาชีพที่อื่น ซึ่งได้ความจากคำเบิกความของนายสมศักดิ์และนางสาวประไพพยานจำเลยทั้งสองได้ความว่า ด้วยสาเหตุที่นางสาวเตือนใจกับจำเลยที่ 1 ทะเลาะกันบ่อย ในปี 2501 นายชินและจำเลยที่ 1 จึงได้ไปหาซื้อที่ดินพิพาทเพื่อให้จำเลยที่ 1 แยกไปอยู่อาศัยและประกอบธุรกิจค้าไม้ จากนั้นนายชินและจำเลยที่ 1 ก็ได้ปลูกสร้างโรงเรือนบนที่ดินพิพาท เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยร่วมกันและประกอบธุรกิจค้าไม้แปรรูปโดยจดทะเบียนจัดตั้งจำเลยที่ 2 ขึ้นเมื่อปี 2503 ตลอดมา จากพยานหลักฐานทั้งของโจทก์ทั้งสามและจำเลยทั้งสองข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายชินประกอบธุรกิจค้าไม้มาแต่เดิม ทั้งขณะที่อยู่กินกับนางสาวเตือนใจและแยกมาอยู่กับจำเลยที่ 1 ก็ร่วมกันประกอบธุรกิจค้าไม้แปรรูปเช่นเดียวกัน เห็นได้จากการจดทะเบียนจัดตั้งจำเลยที่ 2 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด ซึ่งตั้งอยู่ ณ บ้านเลขที่ 73/1 บนที่ดินพิพาทโดยมีนายชินเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2503 ถึงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2523 หลังจากนั้นจึงมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการคนต่อมา และจากรายงานการเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทของศาลประกอบภาพถ่ายสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาท หมาย ล.4 และ ล.10 กับแผนผังหมาย ล.9 แล้วทำให้เห็นได้ถึงลักษณะและอายุของสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทที่ปรากฏให้เห็นด้วยสายตาว่าได้ปลูกสร้างมานานและเป็นธุรกิจค้าไม้แปรรูปจริง จากลักษณะทางธุรกิจค้าไม้แปรรูปที่นายชินประกอบมาแต่เดิมและความประสงค์ของจำเลยที่ 1 ที่ต้องการแยกไปประกอบธุรกิจและอยู่กินกับนายชินต่างหาก ไม่ต้องการอยู่ร่วมกับนางสาวเตือนใจแล้วนายชินและจำเลยที่ 1 ไปหาซื้อที่ดินพิพาทเพื่อแยกประกอบธุรกิจซึ่งยังคงเป็นธุรกิจค้าไม้แปรรูปอยู่นั้น โดยจดทะเบียนจัดตั้งจำเลยที่ 2 เป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดมีนายชินเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการมาตั้งแต่แรกของการประกอบกิจการคือตั้งแต่ปี 2503 โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยประกอบธุรกิจอะไรมาก่อน จนกระทั่งในปี 2523 จำเลยที่ 2 จึงเปลี่ยนแปลงหุ้นส่วนผู้จัดการจากนายชินมาเป็นจำเลยที่ 1 จึงน่าเชื่อว่าการหาซื้อที่ดินพิพาทก็ดี การประกอบธุรกิจบนที่ดินพิพาทก็ดี เป็นความตั้งใจร่วมกันของนายชินกับจำเลยที่ 1 แต่ขณะซื้อที่ดินพิพาทเมื่อปี 2501 นั้น ทั้งนายชินและจำเลยที่ 1 ยังมีสถานะเป็นบุคคลต่างด้าว จึงไม่อาจมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้ การใส่ชื่อนางสาวสมศรีซึ่งเป็นภริยาของเพื่อนนายชินไว้แทน จึงมีเหตุผลให้รับฟังได้ แม้ต่อมาการเปลี่ยนชื่อเป็นนางสาวเตือนใจ จำเลยทั้งสองจะนำสืบว่านายชินอ้างว่าเพื่อความสะดวกในการจำนองเป็นประกันการกู้ยืมเงินจากธนาคารโดยไม่มีเหตุผลโดยละเอียดว่าเหตุใดต้องเป็นเช่นนั้นก็ตาม แต่จากโฉนดที่ดินพิพาทเอกสารหมาย ล.14 ประกอบสำเนาหนังสือสัญญาจำนองที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.8 เห็นได้ว่า แม้วันที่ 11 ตุลาคม 2514 ได้มีการนำที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนจำนองเป็นประกันเงินกู้ของนายชิน โดยที่ดินพิพาทมีชื่อนางสาวเตือนใจถือกรรมสิทธิ์ในระยะเวลาของการก่อหนี้ก็ตาม แต่ก็เป็นช่วงระยะเวลาเดียวกับที่นายชินกับจำเลยที่ 1 เริ่มประกอบกิจการค้าไม้แปรรูปด้วยเช่นกัน ซึ่งโจทก์ทั้งสามก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าหนี้ดังกล่าวเป็นไปเพื่อกิจการในส่วนของนางสาวเตือนใจแต่อย่างใด นายชินจึงอาจกู้ยืมเงินเพื่อใช้ประกอบกิจการในส่วนของจำเลยที่ 1 ก็เป็นได้ ที่โจทก์ทั้งสามฎีกาว่านางสาวเตือนใจซื้อที่ดินพิพาทจากนางสาวสมศรีเมื่อปี 2504 แต่ก็ไม่ปรากฏในทางนำสืบของโจทก์ทั้งสามอีกเช่นกันว่า นางสาวเตือนใจซื้อที่ดินพิพาทไว้เพื่อเหตุใดและเข้าไปมีส่วนครอบครองที่ดินพิพาทในลักษณะอย่างใด พยานหลักฐานที่จำเลยทั้งสองนำสืบมามีน้ำหนักให้น่าเชื่อได้ว่า นับจากระยะเวลาที่มีการซื้อขายที่ดินพิพาทในปี 2501 มาแล้ว ที่ดินพิพาทเป็นที่ตั้งสถานที่อยู่อาศัยและการประกอบธุรกิจร่วมกันระหว่างนายชินกับจำเลยที่ 1 ข้อฎีกาของโจทก์ทั้งสามที่ว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความสามารถที่จะซื้อที่ดินพิพาทได้ก็ดี หรือข้อที่ว่าหากจำเลยที่ 1 ต้องใส่ชื่อผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนจำเลยที่ 1 ก็ควรจะเป็นญาติของจำเลยที่ 1 เองก็ดี คงมีลักษณะเป็นเพียงความเห็นของโจทก์ทั้งสาม เพราะมิใช่เพียงจำเลยที่ 1 เท่านั้นที่เป็นผู้จัดหาซื้อที่ดินพิพาท แต่ยังมีนายชินผู้เป็นสามีร่วมจัดการอยู่ด้วย ส่วนเรื่องเงินตามเช็คที่จำเลยทั้งสองจ่ายโดยนางสาวเตือนใจเป็นผู้นำไปเบิกเงินที่ธนาคารนั้น ซึ่งโจทก์ทั้งสามอ้างว่าเป็นค่าเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยทั้งสองตามสำเนาเช็คเอกสารหมาย จ.9 และจ.10 นั้น เห็นได้ว่า เช็คฉบับแรกลงวันที่ 16 เดือน 5 ปี 1995 หรือวันที่ 16 พฤษภาคม 2538 แต่กิจการที่จำเลยทั้งสองกระทำอยู่บนที่ดินพิพาทนั้นมีมาตั้งแต่ประมาณปี 2503 แล้ว สัญญาหรือข้อตกลงในเรื่องการเช่าก็ไม่ปรากฏหลักฐานในทางนำสืบ กรณีจึงอาจเป็นดังที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่าเงินตามเช็คดังกล่าวเป็นการที่จำเลยที่ 1 ชำระให้ฝ่ายโจทก์ทั้งสามเพื่อช่วยค่ารักษาพยาบาลก็เป็นได้ เพราะจากเอกสารเกี่ยวกับประวัติผู้ป่วยตามเอกสารหมาย ล.5 ถึง ล.7 และสำเนาประวัติการตรวจรักษาของโรงพยาบาลศรีธัญญา จังหวัดนนทบุรี ตามเอกสารหมาย ล.13 นั้น จะเห็นได้ว่าอยู่ในช่วงระยะเวลาประมาณปี 2536 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้เคียงกันกับการสั่งจ่ายเช็คดังกล่าว ทั้งมิใช่เพียงแต่นางสาวเตือนใจมารดาของโจทก์ทั้งสามเท่านั้นที่ป่วยจนต้องไปให้แพทย์รักษาอาการทางจิตเป็นประจำ แต่ยังรวมถึงโจทก์ที่ 2 และโจทก์ที่ 3 อีกด้วย พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสองจึงมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสาม รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทไว้จริง แต่อย่างไรก็ตามจากลักษณะของการจัดหาซื้อที่ดินพิพาทและการเข้าครอบครองประกอบธุรกิจตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบนั้น เห็นได้ว่าเป็นการจัดซื้อที่ดินพิพาทและประกอบธุรกิจร่วมกันระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายชิน ดังนั้น จำเลยที่ 1 และนายชินจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทร่วมกันคนละครึ่ง หาใช่จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแต่เพียงผู้เดียวไม่ ฎีกาของโจทก์ทั้งสามในข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า หากโจทก์ทั้งสามไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสามและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนนั้นเป็นการไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 วรรคสองที่บัญญัติว่า ถ้าการแบ่งไม่อาจตกลงกันได้ให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างเจ้าของรวมหรือขายทอดตลาด ศาลฎีกาจึงเห็นควรแก้ไขในข้อนี้ให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ทั้งสามดำเนินการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 19420 เลขที่ดิน 525 ตำบลตลาดขวัญ (บางแพรก) อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี ให้แก่จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่งจากจำนวนเนื้อที่ดินทั้งหมด หากในการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมไม่อาจตกลงกันได้ในระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 1 ก็ให้ขายที่ดินดังกล่าวโดยประมูลราคาระหว่างโจทก์ทั้งสามกับจำเลยที่ 1 ถ้าไม่อาจขายโดยประมูลราคา ก็ให้ขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งกันตามส่วนแห่งความเป็นเจ้าของรวม ยกคำขอที่ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสาม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ