คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7122/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยื่นคำให้การและนำสืบเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ชัดเจนว่าโจทก์ปล่อยปละละเลยไม่ดำเนินการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อจนเวลาล่วงเลยไปปีเศษนับแต่วันที่ถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายเป็นผลให้เครื่องเรียงพิมพ์ที่เช่าซื้อเสื่อมสภาพ เสื่อมราคาและตกรุ่น จำเลยนำออกจำหน่ายไม่ได้จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีส่วนผิดสัญญาเช่าซื้อที่ผ่อนเวลาการบอกเลิกสัญญาออกไปปีเศษทำให้ทรัพย์สินที่เช่าซื้อเสียหายบางส่วนและทำให้จำเลยเสียโอกาสที่จะจำหน่ายทรัพย์สินที่เช่าซื้อดังกล่าวให้แก่บุคคลอื่น ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนผิดนั้น จึงเป็นการหยิบยกเรื่องที่เป็นประเด็นข้อพิพาทขึ้นวินิจฉัย และแม้คู่ความจะแถลงรับข้อเท็จจริงกันว่าผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์รวม 32 งวด ก็ไม่ทำให้ประเด็นที่จำเลยให้การต่อสู้ยุติตามข้อเท็จจริงที่แถลงรับกัน ข้อต่อสู้ของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง
จำเลยขายเครื่องเรียงพิมพ์กราฟิคแก่โจทก์เพื่อนำไปให้บริษัท ว. เช่าซื้ออีกทอดหนึ่งโดยจำเลยทำหนังสือสัญญารับซื้อคืนกับโจทก์ว่า ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาเช่าซื้อจนเป็นเหตุให้ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ถ้าผู้ให้เช่าซื้อต้องการและแจ้งให้ผู้รับซื้อคืนทราบเป็นหนังสือ ผู้รับซื้อคืนจะรับซื้อทรัพย์สินที่เช่าซื้อดังกล่าวซึ่งยึดกลับคืนมาในสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นในราคาเท่ากับจำนวนเงินคงค้างทุกจำนวนตามบัญชีที่ผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อ ดังนั้น เมื่อบริษัท ว. ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อจนเป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญาและยึดเครื่องเรียงพิมพ์ที่เช่าซื้อกลับคืนพร้อมกับส่งมอบให้แก่จำเลย จำนวนเงินที่จำเลยต้องชำระตามหนังสือสัญญารับซื้อคืนก็คือเงินคงค้างทุกจำนวนที่บริษัท ว. ต้องชำระแก่โจทก์ ณ วันที่โจทก์ยึดเครื่องเรียงพิมพ์ที่เช่าซื้อกลับคืน แต่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบเพียงว่าจำนวนเงินคงค้างทุกจำนวนตามบัญชีที่บริษัท ว. ค้างชำระอยู่เป็นเงิน 145,418.45 บาท โดยมิได้แสดงรายละเอียดแห่งหนี้ว่าเป็นการค้างชำระหนี้รายการใดบ้าง จำนวนเท่าใด จึงต้องถือจำนวนเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ควรได้รับตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อที่โจทก์กล่าวยืนยันในคำฟ้องคือ 882,605.52 บาท เป็นยอดสุทธิหักด้วยเงินค่าเช่าซื้อ 32 งวด จำนวน 839,456 บาท ที่โจทก์ได้รับแล้ว จึงคงเหลือหนี้ที่จำเลยจะต้องชำระแก่โจทก์เพียง 43,149.52 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้จำเลยชำระเงินตามสัญญา พร้อมดอกเบี้ย แก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๑๐๔,๙๓๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย อัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๗,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๓๓,๐๔๕.๕๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับจากวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๔๐ เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ตกเป็นพับทั้งสองฝ่าย
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่า จำเลยขายเครื่องเรียงพิมพ์กราฟิค ปี ๑๙๙๒ แก่โจทก์เพื่อโจทก์นำไปให้บริษัท ว.เช่าซื้ออีกทอดหนึ่ง โดยจำเลยทำสัญญายอมรับซื้อเครื่องเรียงพิมพ์คอมพิวกราฟิคดังกล่าวคืนหากบริษัท ว. เป็นฝ่าย ผิดสัญญาจนเป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ต่อมาบริษัท ว. ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อจนเป็นเหตุให้โจทก์บอกเลิกสัญญาและยึดเครื่องเรียงพิมพ์คอมพิวกราฟิคกลับคืนพร้อมกับส่งมอบให้แก่จำเลย เมื่อโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงิน ตามหนังสือสัญญารับซื้อคืน จำเลยโต้แย้งและไม่ยอมชำระเงินแก่โจทก์ และข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณา วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ฟังได้ต่อไปว่า บริษัท ว. ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์รวม ๓๒ งวดเป็นเงิน ๘๔๙,๕๖๐ บาท โดยชำระครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๓๘ จำนวนเงินดังกล่าวแบ่งเป็นชำระค่าเช่าซื้อและภาษี ๘๓๙,๔๕๖ บาท เป็นค่าปรับอันเนื่องมาจากการผิดสัญญา ๑๐,๑๐๔ บาท ตามบัญชีชำระค่าเช่าซื้อ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องผิดสัญญารับซื้อคืน แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีส่วนผิดสัญญาเช่าซื้อที่ผ่อนเวลาการบอกเลิกสัญญาออกไปปีเศษทำให้ทรัพย์ที่เช่าซื้อเสียหายบางส่วนอันเป็นการยกเรื่องที่มิใช่ประเด็นข้อพิพาทขึ้นวินิจฉัย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่งนั้น เห็นว่า จำเลยยื่นคำให้การและนำสืบเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ชัดเจนว่าโจทก์ปล่อยปละ ละเลยไม่ดำเนินการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อจนเวลาล่วงเลยไปกว่าปีเศษนับแต่วันที่ถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายเป็นผลให้เครื่องเรียงพิมพ์ที่เช่าซื้อเสื่อมสภาพ เสื่อมราคาและตกรุ่น จำเลยนำออกจำหน่ายไม่ได้ ดังนั้น แม้คู่ความจะแถลงรับข้อเท็จจริงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๒ ว่า บริษัท ว. ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์รวม ๓๒ งวด ก็ไม่ทำให้ประเด็นที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้โจทก์ดังกล่าวยุติตามข้อเท็จจริงที่รับกันนั้น ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบตั้งแต่ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ตามเอกสารหมาย ล.๓ แสดงไว้ชัดเจนว่า บริษัท ว. ค้างชำระค่าเช่าซื้อ ๔ งวด เป็นเงิน ๑๐๔,๙๓๒ บาท จำเลยต้องรับผิดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ตามหนังสือสัญญารับซื้อคืนนั้น พิเคราะห์หนังสือสัญญารับซื้อคืน ตลอดแล้ว ความในข้อ ๑ มีว่า “ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดสัญญาเช่าซื้อจนเป็นเหตุให้ผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาการให้เช่าซื้อ และถ้าผู้ให้เช่าซื้อต้องการและแจ้งให้ผู้รับซื้อคืนทราบเป็นหนังสือ ผู้รับซื้อคืนจะรับซื้อทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อดังกล่าวข้างต้น ซึ่งยึดกลับคืนมาในสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้นในราคาเท่ากับจำนวนเงินคงค้างทุกจำนวนตามบัญชีที่ ผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่าซื้อ และผู้รับซื้อจะต้องชำระราคาทรัพย์สินดังกล่าวให้ผู้ให้เช่าซื้อภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ผู้ให้เช่าซื้อแจ้งให้ผู้รับซื้อคืนทรัพย์สินนั้น” เห็นว่า จำนวนเงินที่จำเลยต้องชำระตามหนังสือสัญญารับซื้อคืนคือเงินคงค้างทุกจำนวนที่บริษัท ว. ต้องชำระแก่โจทก์ ณ วันที่โจทก์ยึดเครื่องเรียงพิมพ์คอมพิวกราฟิคกลับคืน แต่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบเพียงว่า จำเลยเงินคงค้างทุกจำนวนตามบัญชีที่ บริษัท ว. ค้างชำระอยู่เป็นเงิน ๑๔๕,๔๑๘.๔๕ บาท โดยโจทก์มิได้แสดงรายละเอียดแห่งหนี้ว่าเป็นการค้างชำระหนี้ใดบ้าง จำนวนเท่าใด จึงต้องถือจำนวนเงินค่าเช่าซื้อที่โจทก์ควรได้รับตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อ ที่โจทก์กล่าวยืนยันในคำฟ้องเป็นยอดสุทธิจำนวน ๘๘๒,๖๐๕.๕๒ บาท หักด้วยเงินค่าเช่าซื้อ ๓๒ งวด จำนวน ๘๓๙,๔๕๖ บาท ที่โจทก์ได้รับแล้ว คงเหลือหนี้ที่จำเลยต้องชำระเงินแก่โจทก์เพียง ๔๓,๑๔๙.๕๒ บาท ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระเงิน ๑๐๔,๙๓๒ บาท จึงไม่ถูกต้องและที่ศาลอุทธรณ์ให้นำเงินค่าปรับกรณีผิดสัญญาจำนวน ๑๐,๑๐๔ บาท ที่โจทก์ได้รับแล้วมาหักออกจากยอดเงินค่าเช่าซื้อเสียด้วยจึงไม่ถูกต้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๔๓,๑๔๙.๕๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share