แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
เดิมโจทก์ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทได้แจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) ที่ดินพิพาทไว้ ต่อมาจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินดังกล่าวและเจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการให้ จากนั้นจำเลยได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้ ต. และต. จดทะเบียนจำนองที่ดินแก่ธนาคารในวันเดียวกัน ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทแล้วเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และการจดทะเบียนสิทธินิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวมาเพียงคนเดียว โดยมิได้ฟ้องหรือเรียกเจ้าพนักงานที่ดิน ต. และธนาคารเข้ามาเป็นคู่ความด้วย จึงเป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) เลขที่ 200 และการจดทะเบียนสิทธินิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวทุกครั้ง
จำเลยให้การว่า พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้จำเลย เพราะจำเลยเป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองจำเลยมีสิทธิจดทะเบียนโอนขายหรือทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินแปลงดังกล่าวได้โดยชอบ ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะโจทก์ฟ้องเกิน1 ปี นับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงการที่จำเลยครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ทะเบียนเล่มที่ 14 หน้า 60 เลขที่ 300 (ที่ถูกเลขที่ 200) หมู่ที่ 6 ตำบลหนองหลุม อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตรกับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินแปลงนี้ทุกครั้งโดยให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการและเสียค่าใช้จ่ายแทนโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์แจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) ที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2498 ตามเอกสารหมาย จ.1ต่อมาจำเลยได้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาท อำเภอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2517ตามเอกสารหมาย จ.22 เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2524 จำเลยได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้นางตวงเพชรและในวันเดียวกันนั้นนางตวงเพชรจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัดมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และเพิกถอนนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาททุกครั้งหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ทราบอยู่แล้วว่าเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเป็นผู้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยได้จดทะเบียนโอนขายสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่นางตวงเพชรไปตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน 2524 และนางตวงเพชรนำที่ดินพิพาทไปจำนองธนาคารกรุงเทพ จำกัด ดังนั้นผู้โต้แย้งสิทธิและผู้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับการเพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทนอกจากจำเลยแล้วยังมีเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ นางตวงเพชรและธนาคารกรุงเทพ จำกัด แต่โจทก์ฟ้องจำเลยเพียงคนเดียว ซึ่งจำเลยไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทแล้ว มิได้ฟ้องหรือเรียกเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอ นางตวงเพชรและธนาคารกรุงเทพ จำกัด ผู้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์และผู้ทำพินัยกรรมเข้ามาเป็นคู่ความด้วย แต่โจทก์กลับขอให้ศาลเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ที่เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอออกและเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าว เป็นการขอให้ศาลพิพากษากระทบถึงสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 โจทก์มิอาจฟ้องบังคับได้ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน