แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินและบ้านของจำเลยซึ่งได้ขายฝากไว้กับบุคคลภายนอกแต่เป็นการขายฝากภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมีคำสั่งให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินและบ้าน ดังนี้เมื่อในการยึด โจทก์อ้างว่าที่ดินและบ้านเป็นทรัพย์สินของจำเลย จำเลยจดทะเบียนขายฝากโดยสมยอมกับบุคคลภายนอกและโจทก์ยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินรายนี้เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องยึดทรัพย์ดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีคำสั่งให้ถอนการยึดหาได้ไม่ โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนคำสั่งให้ถอนการยึดของเจ้าพนักงานบังคับคดีได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้เงินยืมแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดีและผู้แทนโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำนวน 1 แปลงเนื้อที่ประมาณ 1 งาน 72 ตารางวา พร้อมบ้านอีก 1 หลัง ที่ปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2530 โดยโจทก์อ้างว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของจำเลยทั้งสอง เมื่อยึดที่ดินและบ้านดังกล่าวแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีได้รายงานศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2530 มีสาระสำคัญว่า ในการยึดที่ดินและบ้านนั้นได้ยึดแบบติดการขายฝาก และผู้แทนโจทก์จะนำสำเนาสัญญาขายฝากส่งเจ้าพนักงานบังคับคดีภายหลัง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้เรียกโจทก์มาสอบถาม หากที่ดินที่ยึดนั้นได้ขายฝากให้บุคคลอื่นไปแล้วโจทก์ก็ไม่มีสิทธิยึด ให้ถอนการยึด ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2533เจ้าพนักงานบังคับคดีเรียกโจทก์มาสอบถาม ผู้แทนโจทก์แถลงรับว่าที่ดินและบ้านที่ยึดได้มีการขายฝากให้บุคคลภายนอกไปแล้วจริง แต่อ้างว่าการขายฝากเป็นนิติกรรมอำพราง โดยจำเลยกับบุคคลภายนอกสมคบกันทำขึ้นเพื่อโกงเจ้าหนี้ ขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึด เจ้าพนักงานบังคับคดีพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อทรัพย์ที่ยึดได้ขายฝากไว้กับบุคคลภายนอกแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ยึดย่อมตกไปยังบุคคลภายนอกผู้รับซื้อฝาก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 491 ทรัพย์ที่ยึดจึงมิใช่เป็นของจำเลย ชอบที่โจทก์จะต้องถอนการยึดที่ดินและบ้านดังกล่าว จึงมีคำสั่งให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) พร้อมบ้านที่ยึดไว้เสีย
โจทก์ยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่ยึดเป็นของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองจดทะเบียนขายฝากไว้กับบุคคลภายนอกหลังจากศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว เป็นการสมคบกับบุคคลภายนอกมาฉ้อฉลโจทก์และจำเลยทั้งสองมีเจตนาไม่ไถ่ถอนปล่อยให้ทรัพย์ตกเป็นของบุคคลภายนอก ขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีและให้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์ดังกล่าวต่อไป
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์จะขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินและบ้านได้ดังคำร้องของโจทก์หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในกรณีจะต้องยึดและขายทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดีชอบที่จะยึดหรือขายทรัพย์สินที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอ้างว่าเป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 283 สำหรับคดีนี้ปรากฏว่าในการนำยึดที่ดินและบ้านพิพาท โจทก์ได้อ้างว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินของจำเลย จำเลยจดทะเบียนขายฝากให้บุคคลภายนอกโดยสมยอมกับบุคคลภายนอก เมื่อโจทก์ยืนยันให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินรายนี้ เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องยึดที่ดินและบ้านพิพาทดังกล่าว เจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีคำสั่งให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินและบ้านพิพาทหาได้ไม่ โจทก์มีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกคำร้องของโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ให้โจทก์ถอนการยึดที่ดินและบ้านพิพาท