คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 629/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยด่าว่าภริยาและมารดาของภริยาต่อหน้าบุคคลอื่นว่า”ซื้อหมาอ้วนมาตัวหนึ่งราคา 100,000 บาท วัน ๆ ไม่ทำอะไร นอนอยู่แต่หน้าเตา โคตรเง่าเหล่าอีหมวยกูไม่เอามาทำพันธุ์อีกแล้ว”คำว่าหมาอ้วนหมายถึงภริยาส่วนคำว่าอีหม่วยหรืออีม่วยหมายถึงมารดาของภริยา ถ้อยคำของจำเลยดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทภริยาและบุพการีของภริยาอย่างร้ายแรงตามกฎหมายแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นภริยาจึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยได้พูดต่อหน้าคนเกี่ยวข้าวด้วยกันหลายคนว่า “ข้าซื้อหมาอ้วนตัวหนึ่งคือเมียข้าราคาแสนบาทเลี้ยงจนขนเหี้ยน บางวันไม่ได้ทำอะไรเลยได้แต่นอนอยู่หน้าเตาโคตรเง่าเหล่าอีหม่วย (มารดาโจทก์) กูไม่เอาทำพันธุ์อีกแล้ว อีหม่วยก็เลวเมียกูก็เลวตาม” นอกจากนี้จำเลยไล่โจทก์และบุตรออกจากบ้านโดยด่าทอโจทก์และมารดาโจทก์อีกว่าม่วยโคตรเง่าเหล่าอีหม่วย (มารดาโจทก์) กูไม่เอาทำพันธุ์อีกแล้วมึงไปเลยก็ไม่ได้แค่นให้มึงอยู่” โจทก์กับบุตรจึงออกจากบ้านจำเลยไปวันรุ่งขึ้น โจทก์ได้ไปแจ้งความไว้ ณ สถานีตำรวจภูธรอำเภอแสวงหาการกระทำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นเป็นการหมิ่นประมาทหรือเหยียดหยามโจทก์และบุพการีของโจทก์อย่างร้ายแรงและจำเลยไม่ให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ตามสมควร กับทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรงและการกระทำดังกล่าวนี้ถึงขนาดโจทก์เดือดร้อนเกินควร ในเมื่อเอาสภาพ ฐานะความเป็นอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยามาคำนึงประกอบ โจทก์จึงมีความประสงค์ขอหย่าขาดจากจำเลยเสีย ขอให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันไปจดทะเบียนหย่า ณ ที่ว่าการอำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทองภายใน 7 วัน นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยด้วย ให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์เป็นเงิน 39,345 บาท
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยด่าว่า ดูหมิ่นเหยียดหยามหรือกร้าวร้าว โจทก์หรือบุพการีของโจทก์แต่อย่างใด จำเลยไม่เคยทะเลาะวิวาทกับโจทก์ถึงขนาดขับไล่โจทก์ออกจากบ้านตามที่โจทก์กล่าวอ้างแต่ประการใด มารดาโจทก์ขับไล่โจทก์และจำเลยให้ออกจากบ้าน โดยด่าจำเลยอย่างหยาบคายว่า “ไอ้เหล่าตาเหลืองโคตรเง่าเหล่านี้ไม่อยากได้ จะมาแย่งสมบัติกูไป” ทำให้โจทก์และจำเลยทะเลาะวิวาทกับมารดาโจทก์และออกจากบ้านไปอาศัยอยู่กับบิดามารดาจำเลยโจทก์และจำเลยได้เปิดร้านขายแก๊สโดยแลกเปลี่ยนถังแก๊สที่บ้านพี่สาวจำเลยโดยบิดามารดาจำเลยนำเงินมาลงทุนให้ 5,000 บาท โจทก์และจำเลยมีผลกำไรจากการขายแก๊สพอเลี้ยงครอบครัวไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นต่อมาจำเลยได้อบรมสั่งสอนโจทก์ให้มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวและสนใจทำมาหากินบ้างเพราะโจทก์เป็นคนเกียจคร้านและทำงานบกพร่องอยู่เสมอ ทำให้โจทก์โกรธและทะเลาะวิวาทกับจำเลย โจทก์จึงหนีออกจากบ้านไปอยู่กับมารดาโจทก์และไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแสวงหา เพื่อขอหย่ากับจำเลย แต่จำเลยปฏิเสธว่ายังไม่ต้องการหย่า เพราะสงสารบุตรชาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากัน ให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์เป็นเงิน 39,345 บาทคำขออื่นให้ยก
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาข้อเดียวว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยหรือไม่ เห็นว่านอกจากโจทก์เบิกความยืนยันว่า จำเลยได้ด่าว่าโจทก์ว่า “ซื้อหมาอ้วนมาตัวหนึ่งราคา 100,000 บาท วัน ๆ ไม่ทำอะไรนอนอยู่แต่หน้าเตาโคตรเง่าเหล่าอีหม่วยกูไม่เอามาทำพันธุ์อีกแล้ว” โดยคำว่าหมาอ้วนหมายถึงโจทก์ ส่วนคำว่าอีหม่วยหรืออีม่วยหมายถึงมารดาโจทก์โจทก์ยังมีนางผาดและนายพลเป็นพยานคนกลางมิได้เป็นญาติหรือเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับโจทก์แต่อย่างใดและไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เบิกความสนับสนุนคำเบิกความโจทก์ให้มีน้ำหนักยิ่งขึ้น เชื่อว่าพยานโจทก์ทั้งสองเบิกความไปตามความเป็นจริงจำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งให้ศาลเห็นเป็นอย่างอื่น แต่กลับให้การรับว่ามารดาโจทก์ได้ทะเลาะกับจำเลยบ่อยครั้งและได้ขับไล่โจทก์จำเลยออกจากบ้าน หลังจากนั้นจำเลยเคยสั่งสอนโจทก์เพราะโจทก์เกียจคร้านทำงานบกพร่องอยู่เสมอ เมื่อจำเลยตักเตือนทำให้โจทก์โกรธและทะเลาะกัน เจือสมกับพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้ด่าว่าโจทก์และมารดาโจทก์ตามฟ้องจริง ถ้อยคำของจำเลยดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์และบุพการีโจทก์อย่างร้ายแรงโจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้
พิพากษายืน

Share