คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2300/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำขอเป็นลูกค้าประเภทขายลดเช็คของจำเลยที่ 1 ที่มีข้อความว่าลูกค้า (จำเลยที่ 1) ทราบดีว่าบริษัท (โจทก์) จะรับซื้อลดเช็คเฉพาะเช็คที่ลูกค้าได้มาจากการชำระหนี้ทางการค้าเท่านั้นถ้าลูกค้าจะนำเช็คอื่น ๆ นอกจากเช็คที่ลูกค้าได้มาจากการชำระหนี้ทางการค้ามาขายลดแก่บริษัทลูกค้ามีหน้าที่ต้องแถลงความจริงเป็นหนังสือให้บริษัททราบก่อน นั้น เป็นคำขอที่จำเลยที่ 1 แสดงเจตนาต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ทราบดีว่าโจทก์จะรับซื้อลดเช็คที่จำเลยที่ 1ได้มาจากการชำระหนี้ทางการค้า แต่มิได้หมายความว่า โจทก์จะรับซื้อลดเช็คหรือจำเลยที่ 1 จะขายลดเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเองมิได้เพียงแต่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบก่อนเพื่อโจทก์จะได้ใช้ดุลพินิจว่า สมควรรับซื้อลดเช็คที่จำเลยที่ 1เป็นผู้ออกเองหรือไม่ การที่โจทก์รับซื้อลดเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเอง จึงไม่ขัดต่อเจตนาของจำเลยที่ 1 ตามคำขอดังกล่าวและเกิดเป็นสัญญาขายลดเช็คขึ้น เมื่อโจทก์นำเช็คที่รับซื้อลดจากจำเลยที่ 1 ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยที่ 4ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2531 จำเลยที่ 1 ได้ทำค่าขอเป็นลูกค้าประเภทขายลดเช็คกับโจทก์ในวงเงินไม่เกิน 1,000,000บาท โดยตกลงว่าจะนำเช็คมาขายลดแก่โจทก์เป็นคราว ๆ ไป หากธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่ 1 ยอมรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี มีจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ทำหนังสือสัญญาค้ำประกันไว้ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาจำเลยที่ 1 นำเช็คลงวันที่ 8, 19, 29พฤษภาคม 2532 และวันที่ 6, 12 มิถุนายน 2532 จำนวนเงินฉบับละ150,000 บาท 100,000 บาท 150,000 บาท 100,000 บาท และ100,000 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงิน 600,000 บาท มาขายลดแก่โจทก์จำเลยที่ 1 ได้รับเงินจากโจทก์ไปแล้ว เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงิน โจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็ค ปรากฎว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปีในต้นเงินจำนวน 600,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิดตามเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ทั้ง 5 ฉบับ ตามฟ้องโจทก์เพราะตามสัญญาขายลดเช็คระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระบุว่า “ลูกค้าทราบดีว่าบริษัทจะรับซื้อลดเช็คเฉพาะเช็คที่ลูกค้าได้มาจากการชำระหนี้ทางการค้าเท่านั้น ถ้าจะนำเช็คอื่น ๆ นอกจากเช็คที่ลูกค้าได้มาจากการชำระหนี้ทางการค้ามาขายลดแก่บริษัท ลูกค้ามีหน้าที่ต้องแถลงความจริงเป็นหนังสือให้บริษัททราบก่อน” ดังนั้นการที่โจทก์รับซื้อเช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับ ซึ่งเป็นเช็คส่วนตัวของจำเลยที่ 1จึงเป็นการตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นอกเหนือจากสัญญาขายลดเช็ค จำเลยที่ 4 ไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระต้นเงินตามเช็คพิพาททั้ง 5 ฉบับ รวม 600,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี ในต้นเงินตามเช็คแต่ละฉบับนับแต่วันที่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับคือในต้นเงินจำนวน 150,000 บาท นับแต่วันที่ 8 พฤษภาคม 2532ในต้นเงินจำนวน 100,000 บาท นับแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2532ในต้นเงินจำนวน 150,000 บาท นับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2532ในต้นเงินจำนวน 100,000 บาท นับแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2532และในต้นเงินจำนวน 100,000 บาท นับแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2532เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ดอกเบี้ยรวมกันคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 38,337 บาท
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2531 จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอเป็นลูกค้าประเภทขายลดเช็คต่อโจทก์ ในวงเงินไม่เกิน 1,000,000 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันและตกลงรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ออกเช็ครวม 5 ฉบับ สั่งจ่ายเงินล่วงหน้ารวมเป็นเงิน 600,000 บาท นำมาขายลดแก่โจทก์ เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนดใช้เงิน โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารแต่ธนาคารตามเช็คได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 4 มีว่าจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่าตามคำขอเป็นลูกค้าประเภทขายลดเช็คที่จำเลยที่ 1 ทำต่อโจทก์ ข้อ 3 ระบุว่าลูกค้า (จำเลยที่ 1)ทราบดีว่าบริษัท (โจทก์) จะรับซื้อลดเช็คเฉพาะที่ลูกค้าได้มาจากการชำระหนี้ทางการค้าเท่านั้น ถ้าลูกค้าจะนำเช็คอื่น ๆนอกจากเช็คที่ลูกค้าได้มาจากการชำระหนี้ทางการค้าขายลดแก่บริษัทลูกค้ามีหน้าที่ต้องแถลงความจริงเป็นหนังสือให้บริษัททราบก่อน นั้นเป็นคำขอที่จำเลยที่ 1 แสดงเจตนาต่อโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ทราบดีว่าโจทก์จะรับซื้อลดเช็คที่จำเลยที่ 1 ได้มาจากการชำระหนี้ทางการค้าแต่มิได้หมายความว่าโจทก์จะรับซื้อลดเช็คหรือจำเลยที่ 1 จะขายลดเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเองมิได้ เพียงแต่จำเลยที่ 1 มีหน้าที่แจ้งเป็นหนังสือให้โจทก์ทราบก่อนเพื่อโจทก์จะได้ใช้ดุลพินิจว่าสมควรรับซื้อลดเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเองหรือไม่ เมื่อโจทก์รับซื้อลดเช็คที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกเอง จึงไม่ขัดต่อเจตนาของจำเลยที่ 1 ตามคำขอดังกล่าวและเกิดเป็นสัญญาขายลดเช็คขึ้นเมื่อโจทก์นำเช็คที่รับซื้อลดจากจำเลยที่ 1 ไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารไม่ได้ จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์
พิพากษายืน

Share